ปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อ

ปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อ

พระอาจารย์คำเขียน สุวณฺโณ
วัดป่าสุคะโต จ.ชัยภูมิ
หลวงพ่อกับ พระอาจารย์ทอง อาภากโร, หลวงพ่อเพียร อตฺตปุญฺโญ, พระอาจารย์คำเขียน สุวณฺโณ และพระอาจารย์บุญธรรม อุตฺตมธมฺโม
ในปี 2508 ได้ยินแต่กิตติศัพท์จากผู้คนทั้งหลายว่า หลวงพ่อเทียนตั้งสำนักสอนกรรมฐานอยู่ที่ป่าพุทธยาน เมืองเลย ผู้ที่ไปศึกษาปฏิบัติจะรู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม ไม่สงสัยเรื่องเกิด เรื่องตาย เรื่องนรกสวรรค์เรื่องมรรค เรื่องผล มีผู้คนไปชวนให้ไปศึกษาดู เพราะช่วงนั้นอาตมาก็ขวนขวายศึกษาอยู่แบบพุทโธ เข้าถึงสมถะ มีผลสุขสงบพอสมควร แต่ยังสงสัยเรื่องเกิดเรื่องตาย เรื่องนรกสวรรค์ และมรรคผลนิพพาน ทำให้คิดถึงหลวงพ่อเทียนอยู่ตลอดเวลา พยายามหาโอกาสอยู่เสมอ
ต่อมา มีหลวงพ่อบุญธรรมซึ่งเป็นญาติกัน ก่อนที่ท่านยังไม่ได้บวชก็เคยพูดกันในเรื่องของกรรมฐาน พอท่านบวชก็ไปศึกษาอยู่กับหลวงพ่อเทียนในช่วงต้นปี 2509 ตอนนั้นอาตมายังไม่ทันได้บวช ได้มีโอกาสไปศึกษาปฏิบัติธรรมกับท่านที่ป่าพุทธยาน จังหวัดเลย ท่านสอนให้สร้างจังหวะและเดินจงกรม ความรู้สึกตอนนั้นไม่ค่อยจะชอบการสร้างจังหวะ ตนเองเคยฝึกหัดแบบพุทธ นั่งนิ่ง ๆ เข้าถึงความสงบได้ไวดี แต่หลวงพ่อท่านสอนไม่ให้เอาความสงบ สอนให้รู้สึกตัวอยู่เสมอ กำหนดรู้ไปกับการสร้างจังหวะ ไม่ให้เข้าไปอยู่ในความสงบ เป็นการสวนทางกับวิธีที่ฝึกหัดมา บางทีไม่อยากจะทำ มันคัดค้านอยู่ในใจมาก ท่านก็พูดให้ฟัง ท่านก็ทำให้ดู คำที่ท่านพูดถึง ความรู้ที่ท่านสอน เรายังไม่มี ยังทำไม่ได้ ความรู้ที่เรามี การกระทำที่เราทำ หลวงพ่อท่านบอกว่าเอาทิ้งไป มันค่อยกินใจไปเรื่อย ๆ บางทีท่านพูดท้าทายมาก ท่านพูดว่า“ คุณทำงานอยู่ที่บ้าน ถ้าคิดเป็นเงินจะได้เดือนละกี่บาท ?” ก็ตอบท่านว่า อย่างน้อยก็ได้เดือนละ 1,000 บาท“ คุณมาอยู่นี้มาปฏิบัติธรรม สร้างจังหวะ เดินจงกรมให้มีสติสัมปชัญญะ ถ้าคุณไม่รู้อะไร จิตใจไม่เปลี่ยนไปจากเดิม อาตมาจะเสียเงินให้เดือนละ 1,000 บาท แต่ต้องทำจริง ๆ นะ ให้ทำตามอาตมาสอนทุกอย่างนะ ท่านพูดกับอาตมาอย่างนี้ ท่านอาจเห็นอาตมามีทิฐิมาก ในที่สุดก็ตกลงทำ ไหน ๆ ก็ได้มาแล้ว ทดลองดู พยายามทวนความรู้สึกเดิม ๆ ตั้งใจสร้างจังหวะ เพื่อปลูกสติสัมปชัญญะ สร้างสติ มันก็ได้สติ จะไปเอาอะไร ตั้งหลักทำไปเรื่อย ๆ
เมื่อมันคิดก็รู้สึกตัวกลับมา อยู่กับการสร้างจังหวะ มันจะสงบ ก็รู้สึกตัว ไม่เข้าไปอยู่ในความสงบ รู้กายรู้ใจชัดขึ้น มีสติสัมปชัญญะมากขึ้น รู้ทันต่อกายเคลื่อนไหว ทันต่อใจที่มันคิด เกิดปัญญาญาณขึ้นมา รู้เรื่องรูป-นาม เรื่องกาย เรื่องใจ ตามความเป็นจริง ลำดับไปจนจบอารมณ์รูป-นามเบื้องต้น จิตใจเปลี่ยนไปพ้นสภาวะเดิม ความลังเลสงสัยหมดไป รู้เรื่องสมถะและเรื่องของวิปัสสนา ความทุกข์หมดไป 60% มั่นใจในคำสอนของหลวงพ่อมาก ความรู้เก่าเดิมจืดจางไปหมด เคยเรียนคาถาอาคมเครื่องรางของขลัง เห็นว่ามันเป็นเรื่องสมมุติ พิธีรีตองต่าง ๆ ที่เคยยึดมั่นถือมั่นวางได้ มีความเชื่อในการกระทำ รู้เรื่องบุญ เรื่องบาปเรื่องนรกสวรรค์ รู้เรื่องศาสนา พุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เหมือนกับแบกของหนักมา 100 ก.ก. พอเกิดปัญญาญาณขึ้น น้ำหนักหลุดออกไป 60 ก.ก.
เราทำเท่านั้นมันหลุดได้ถึงขนาดนี้ ถ้าเราทำให้มากกว่านี้แล้ว มันจะเป็นอย่างไร มีความมั่นใจในการเจริญสติสัมปชัญญะแบบการเคลื่อนไหวมาก หลวงพ่อก็ให้อารมณ์ ท่านบอกว่า นี้มันเป็นอารมณ์ของกรรมฐานเบื้องต้นนะ อย่าไปหลงติดคิดว่าตัวรู้มากนะ ยังมีอยู่อีกมาก ต้องตั้งใจปฏิบัติต่อไป ให้บำเพ็ญทางจิตต่อ จึงจะรู้อารมณ์ของปรมัตถ์ ท่านถามว่า ทำอย่างนี้รู้ได้ไหม เห็นจริงไหม เชื่ออาตมาหรือเชื่อตัวเอง ก็ตอบท่านว่า เชื่อตัวเอง หลวงพ่อฉลาด สอนให้มาเห็นความจริงของชีวิต ทุกคนจะต้องมารู้อย่างนี้จึงจะถูก การที่จะแสวงหาครูอาจารย์อีกต่อไปไม่มี เพราะได้บทเรียนที่สมบูรณ์แบบที่สุดในชีวิต จากครูผู้อ่านหนังสือไม่ได้ เขียนหนังสือไทยไม่เป็น

ปฏิปทาของหลวงพ่อ

ในช่วงปี 2509 หลวงพ่อยังอ่านหนังสือไทยไม่ได้ อ่านได้แต่หนังสือลาว เขียนหนังสือไทยก็ยังไม่เป็น ท่านขยันหัดอ่านหัดเขียน ทั้งสั่งสอนลูกศิษย์ลูกหา บางทีอาตมายังได้สอนอ่านให้ท่านหลายต่อหลายครั้ง หลวงพ่อสอนสิ่งใด ท่านก็ทำสิ่งนั้นได้ ทั้งพูดให้ฟัง ทั้งทำให้เราดู การใช้ชีวิตของท่านอยู่อย่างเรียบง่าย การนั่งนอน การขบฉัน การใช้ชีวิตประจำวันอย่างมีระเบียบ เอาใจใส่ต่อลูกศิษย์ลูกหา ไม่เห็นแก่ความยากลำบาก เสียสละทุกอย่างทั้งกำลังกายและกำลังทรัพย์ ขวนขวายใช้ชีวิตของท่านเพื่อผู้อื่น อยากจะให้รู้ธรรมะจริง แม้เวลาจะผ่านมาแล้วถึง 30 กว่าปี ปฏิปทาของหลวงพ่อไม่เคยเปลี่ยนแปลง อาตมามีความเคารพนับถือว่าท่านเป็นผู้มีคุณอันยิ่งใหญ่ ไม่มีวันเสื่อมคลายได้ในชีวิตนี้

เหตุการณ์ต่าง ๆในสำนักป่าพุทธยาน

ผู้ที่ไปใช้ชีวิตอยู่ในป่าพุทธยานในครั้งกระโน้น ทุกคนมีความตั้งใจที่จะศึกษาปฏิบัติธรรมร่วมกันเหมือนคน ๆ เดียวกัน ไม่ได้ตั้งระเบียบติดไว้ประตูกุฏิเหมือนทุกวันนี้ อยู่กัน 20-30 ชีวิต เหมือนกับไม่มีคน เงียบสงบ จะไต่ถามกันก็ต้องระมัดระวัง มีแต่นั่งสร้างจังหวะและเดินจงกรม อาตมาเคยถามสามเณรที่นั่งสร้างจังหวะอยู่ เธอก็ยังไม่ค่อยอยากจะพูด
การสอนกรรมฐานของหลวงพ่อในครั้งกระโน้น ให้มีแต่การกระทำเป็นส่วนใหญ่ เสียงเดินจงกรมในตอนเช้ามืด เสียน้ำค้างหยดลงใส่ใบตอง ที่เมืองเลยมีน้ำค้างมาก ถ้าได้ยินเสียงน้ำค้างตกลงใส่ใบตอง ก็เป็นเวลาตีสามพอดี ต่างชีวิตก็ลุกขึ้นปรารภความเพียร เสียงเดินจงกรมกับเสียงน้ำค้างตกลงใส่ใบตอง ดังตับ ๆๆ แสงตะเกียงผ่านละอองน้ำค้างสลัว ๆ วันหนึ่งช่างหมดง่าย ๆ เหลือเกิน ได้รับรสพระธรรมที่เกิดขึ้นจากการเจริญสติ ได้คำตอบของชีวิตไปเรื่อย ๆ
ที่อยู่อาศัยก็คือ กระต๊อบหลังเล็ก ๆ เวลาฝนตกก็เปียกบ้างนิดหน่อย ได้สัมผัสกับการใช้ชีวิตที่ไม่ปรุงแต่งเกินไป การขบฉัน บางครั้งก็เอาน้ำในกาเทลงไปในน้ำพริกที่กำลังจะหมดไป เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า น้ำล้างบาตรก็ต้องเทรวมกันในภาชนะเดียว เพื่อนำไปล้างถ้วยชามอีกที ต่อไปก็นำไปรดต้นไม้ที่ปลูกเอาไว้ น้ำดื่ม น้ำอาบ อยู่ห่างจากสำนักประมาณกว่าหนึ่งกิโลเมตร เวลาไปอาบน้ำ ก็ต้องหาภาชนะสำหรับใส่น้ำกลับมาพร้อม พยายามช่วยตัวเองเต็มที่ พระผู้เฒ่าก็เห็นหิ้วกระป๋องใส่น้ำกลับกุฏิ พระหนุ่มก็ต้องหาบ ความยากจนทำให้เราใช้ชีวิตอย่างมีระบบโดยที่ไม่ท้อถอย ไม่กลัวความทุกข์ยากลำบาก บางทีถุงพลาสติกที่ญาติโยมห่ออาหารใส่ในบาตรก็เก็บไว้นำมาสอดแซมหลังคารั่ว การปรารภความเพียรแน่วแน่มั่นคง กระตือรือร้นกันมาก ทางเดินจงกรมเป็นมันวาววับ ที่นั่งบนกุฏิเป็นรูปรอยนั่ง ถ้าได้นั่งสร้างจังหวะ และได้เดินจงกรม เหมือนหนึ่งว่าในโลกนี้มีตัวคนเดียว ไม่ถูกแบ่งแยกไปทิศทางอื่นเลย
เวลาที่ญาติโยมนิมนต์ไปขบฉันในบ้าน ไปประกอบพิธีต่าง ๆ เป็นเรื่องที่ฝืนความรู้สึกมาก คิดถึงทางเดินจงกรม ที่นั่งบนกุฏิ ซึ่งให้แต่ความสงบร่มเย็น เป็นสง่า มีความภาคภูมิใจในเวลาที่ได้เดินจงกรม และในเวลาที่ได้นั่งสร้างจังหวะเจริญสติ รู้สึกว่าเป็นงานที่มีเกียรติในชีวิต ไม่รู้สึกเบื่อหน่าย บางวันในขณะที่นั่งสร้างจังหวะในกุฏิ หลวงพ่อเดินไป จำได้ว่าเป็นเสียงฝีเท้าของหลวงพ่อ
อยู่นี่หรือ ?”
อยู่ครับ หลวงพ่อ
ทำอะไร ?”
สร้างจังหวะ ครับ
เห็นทั้งข้างนอกทั้งข้างในไหม ?”
ไม่เห็นข้างนอกครับ เห็นแต่ข้างใน
ถ้าอยากเห็นข้างนอกทำอย่างไร ?”
เปิดประตูออกครับ
เอ้า ! ลองเปิดประตูออกมาดู
พอเปิดประตูออก หลวงพ่อก็บอกว่า
“ ให้เห็นทั้งข้างนอกทั้งข้างในนะ อย่าให้เห็นแต่ข้างนอก และอย่าให้เห็นแต่ข้างในนะ ดูตรงกลาง ๆ นี้นะ
ว่าแล้วท่านก็เดินผ่านไปยังกุฏิอื่น ก็เข้าใจว่าหลวงพ่อพูดภาษาจิตใจ คือ การดูกาย ดูจิตใจ การบำเพ็ญทางจิต ก็ต้องทำอย่างนี้ ถ้าเข้าไปอยู่ในความคิดก็ผิด ถ้าคิดออกไปข้างนอกตัวเกินไปก็ผิด ต้องเป็นผู้ดู อะไรเกิดขึ้นมาก็ให้ดูด้วยตาใน คือ สติและปัญญา คือ อย่าไปเอา อย่าไปเป็น
ตอนเข้า-ตอนเย็น หลังจากทำวัตรเสร็จ หลวงพ่อให้การอบรมทุกวัน ไม่มีเทปฟัง ไม่มีหนังสืออ่าน ได้ยินแต่คำสอนของหลวงพ่อ และลำดับจากสภาวธรรมที่เกิดขึ้นจากการเจริญสติ จิตใจเปลี่ยนไปเรื่อย รู้เองเห็นเอง
คำพูดที่หลวงพ่อคอยชี้คอยแนะ ประกอบกับการกระทำบำเพ็ญเพียร พูดภาษาธรรมฟังเข้าใจและพบเห็นเป็นได้ ทำได้ หลุดพ้นได้ การสอบอารมณ์ไม่ใช่คิดเอามาถาม มันพบเห็นมาด้วยผลของกรรมฐาน ไม่ใช่คิดมาจากจินตนาการด้วยเหตุด้วยผลอันใดทั้งสิ้น มันเป็นกฎตายตัวของธรรมชาติที่มันมีอยู่แล้ว คือตั้งต้นจากการเห็นรูป-นาม คือของจริงที่มันมีอยู่ เรารู้กฎเกณฑ์อันนี้ แล้วถูกฟ้องไปเรื่อย ๆ จนทุกข์หาที่ตั้งไม่ได้ ไม่มีตัวตนที่ไหน หลวงพ่อท่านสอนแต่เรื่องอย่างนี้ ชี้ให้เห็นชัด เหมือนกับจูงมือมาดู ไม่ไปเห็นโดยการคิดเดากันไป.
เมื่อทุกข์มันไม่มีที่ตั้ง เหี่ยวแห้งหมดยางเพาะไม่ขึ้น เมื่อถึงที่สุดแห่งทุกข์ ไม่มีสิ่งใดที่จะทำอีก เรียกตามอาการที่มันเป็นว่า การดับไม่เหลือของนาม-รูป ไม่รู้ว่ามีอยู่ในตำราหรือไม่ นี่พูดตามอาการที่มันเป็น เรียกอย่างอื่นไม่ได้ คำสั่งสอนของหลวงพ่อชี้ชัดมากในเรื่องนี้ ไม่ใช่ท่านสอนให้รู้ให้เข้าใจแต่เพียงอย่างเดียว สอนให้เป็นจริง ๆ เช่นกับว่า ปลิง.มันเกาะดูดเลือดเรา แต่ก่อนเราไม่เห็นมัน แต่พอดีเหตุปัจจัยมันมี ทำให้ปลิงหลุดออกจากตัวเรา เราจึงรู้ว่า มันเป็นเรื่องสะอิดสะเอียนมาก แต่ขณะที่ปลิงเกาะอยู่ เราไม่รู้ไม่เห็นมัน เหมือนกับที่เราปล่อยให้กิเลสตัณหามีอยู่ในใจเรา เมื่อเรารู้ เราเข้าใจ เห็นมันแล้วมันก็จะหลุดออกไป เราก็จะรู้สึกเหมือนที่เรารู้สึกกับปลิง มันเป็นแล้วจึงรู้ รู้แล้วก็ไม่ต้องไปถามใคร ชีวิตของคนเรามาจบลงที่ตรงนี้ โดยตั้งต้นศึกษาปฏิบัติธรรม ตามแบบของการเคลื่อนไหวสร้างจังหวะ เดินจงกรม เจริญสติสัมปชัญญะ ทำแบบวิธีอื่นไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างนี้หรือเปล่า
อาตมาได้ถือเอาหลักการเจริญสติแบบการเคลื่อนไหว มีหลวงพ่อเป็นครู จะมีอยู่ในตำราหรือไม่นั้น ท่านผู้รู้ทั้งหลายจงพิจารณาดูเองเถิด การที่ลำดับเขียนไว้นี้เป็นส่วนเล็กน้อยเท่านั้น ยังมีอีกมาก ยังไม่สมควรพูดในตอนนี้ อาตมายังขอรับรองว่า สักวันหนึ่ง ถ้าท่านทั้งหลาย มีเวลานั่งสร้างจังหวะ เดินจงกรม เจริญสติ ดูการเคลื่อนไหว ดูใจที่มันคิดรู้เท่าทัน จับได้ไล่ทัน ปัญหาภาวะที่ท่านมีจะสารภาพ จำนนต่อหสักฐาน หมดพิษสง ได้รับอิสรภาพ ชีวิตเป็นอมตะ เหนือการเกิดแก่เจ็บตาย
งานสอนธรรมะของหลวงพ่อก็กระจายออกไปเรื่อยตามลำดับ จนเข้าสู่เมืองหลวง ออกไปถึงต่างประเทศ ตราบใดที่ยังมีมนุษย์อยู่ในโลก จะเป็นชนชาติใดก็ตาม ถ้ามาศึกษาดู ก็จะพบเห็นเช่นเดียวกันหมด ขอเชิญชวนท่านทั้งหลายจงศึกษาดูเถิด จะอ่านหนังสือได้หรือไม่ได้ไม่สำคัญ
ขณะที่หลวงพ่ออาพาธหนัก หลวงพ่อก็ยังสั่งยังสอนอยู่ ท่านอุทิศชีวิตของท่านเพื่อผู้อื่นจริง ๆ เมื่อครั้งหลวงพ่อยังไม่ทันได้บวช ก็ขวนขวายที่จะให้คนทั้งหลายมาพบเห็นเรื่องนี้ อาตมาเคยได้ไปจำพรรษาที่บ้านเกิดเมืองนอนของท่าน มีคนเฒ่าคนแก่ คนหนุ่ม รุ่นลูกหลานของท่านเล่าให้ฟัง นี้ยังไม่พอ ยังเห็นกุฏิหลังเล็กทำอย่างดี มีเป็นสิบ ๆ หลัง ท่านสร้างขึ้นด้วยทรัพย์สินส่วนตัว แล้วก็ให้ผู้คนมาอยู่ปฏิบัติ ตลอดทั้งจัดอาหารการขบฉันให้โดยที่ไม่ให้ผู้อื่นมีภาระ
ชีวิตของหลวงพ่อเมื่อครั้งครองฆราวาส ก็เป็นผู้ที่มีฐานะมีอันจะกิน เป็นพ่อค้าใหญ่ในอำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย มีเรือจักรขนาดใหญ่ล่องสินค้าในแม่น้ำโขง ขึ้นไปทางเหนือก็เกือบถึงหลวงพระบาง ทางใต้ก็แถบนครพนม สมัยก่อนเมืองลาวยังไปมาหาสู่ค้าขายกันได้เป็นอิสระสองฝั่งแม่น้ำโขงจะรู้จักนายฮ้อยพ่อเทียน (นายฮ้อย : ภาษาถิ่นอีสานเป็นคำที่ใช้เรียกพ่อค้า) ชื่อหลวงพ่อจริง ๆ ไม่ใช่ชื่อหลวงพ่อเทียน ชื่อหลวงพ่อพันธ์ แต่ประเพณีคนแถวเมืองเลยเมืองลาว เขาเอาชื่อของลูกคนโตมาประกอบ ลูกคนโตของหลวงพ่อ ชื่อ นายเทียน คนต่อมาชื่อนายเตรียม หลวงพ่อมีลูกสองคน ตกลงหลวงพ่อก็ได้ชื่อลูกมาประกอบ คนแถวนั้นเขาไม่นิยมเรียกชื่อกันตรง ๆ เขาถือว่าเสียมารยาท นายฮ้อยพ่อเทียน เมื่อบวชเข้ามาก็ได้ชื่อว่าหลวงพ่อเทียน. ถ้าเราไปเรียกว่า หลวงพ่อพันธ์ คนแถวเมืองเลย เชียงคาน เขาคิดว่าเราไม่เคารพ เป็นอย่างนี้กันทั้งหมด ในหมู่คนเมืองเลยเมืองลาว บางทีมาถึงหนองคายด้วย หลวงพ่อมีบ้านเกิดเมืองนอนอยู่ที่บ้านบุฮม ตำบลบุฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ตระกูลของหลวงพ่ออยู่ที่นั่นเป็นส่วนใหญ่
หลวงพ่อสมัยครองฆราวาส มีผู้เคารพเชื่อฟังมาก เป็นผู้ใหญ่บ้านด้วย เรื่องทำบุญให้ทานมักจะได้เป็นผู้นำ สร้างอุโบสถหลังหนึ่งด้วยทุนทรัพย์ส่วนตัว มีอะไรอีกมากที่ไม่ได้นำมาพูด ก็ไม่ได้คิดว่านำเรื่องนี้มาโอ้อวดแต่ประการใด เพียงแต่ให้เราเห็นว่า ท่านก็เป็นคนเราธรรมดา ๆ นี้เอง แต่มีความสามารถค้นพบสัจธรรมอีกผู้หนึ่งในยุคนี้สมัยนี้เราท่านทั้งหลายจะได้เอาเป็นตัวอย่าง
เมื่อก่อนที่ไปศึกษากับหลวงพ่อ หลวงพ่อมักจะพูดอยู่เสมอว่าเคยทำบุญ บวช ทำกฐิน ทำผ้าป่า สร้างโบสถ์วิหาร ทำทุกอย่างที่เป็นพิธีทำบุญ แต่มันไม่รู้ธรรมะแบบนี้ อาตมาก็มาคิดว่า เอ ! ตัวเรานี้ไม่ได้ทำบุญเหมือนกับหลวงพ่อ คงไม่มีโอกาสรู้ธรรม เห็นธรรม ที่แท้ไม่ใช่เลย จะเป็นคนจน คนมี ก็รู้ได้ทั้งนั้น ถ้าปฏิบัติจริง ๆ ให้ได้สัมผัสกับสติ-สัมปชัญญะ ให้เวลาเพียงพอ หลวงพ่อท่านก็ยืนยันเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา ท้าทายต่อผู้คนทั้งหลาย เชิญชวนมาพิสูจน์ดูด้วยตนเอง
อาตมาขอพูดอีกว่า ที่ได้มาเป็นลูกศิษย์ลูกหานี้ ไม่ใช่เพราะประวัติของหลวงพ่อ ไม่ใช่เพราะกิริยามารยาท ไม่ใช่เพียงแต่ได้ยินคำพูด คำเล่าลือของผู้คนทั้งหลาย หากแต่เมื่อได้ทดลองวิธีการเจริญสติสัมปชัญญะแบบการเคลื่อนไหว เกิดผลแก่ตนเอง มากมายหลายอย่าง จนถึงที่สุดคำว่าทุกข์ไม่มีเหลือเลย เพราะการกระทำแบบอย่างหลวงพ่อเทียนสอน จะเป็นคำสอนหรือจะพูดว่า เป็นวิธีแบบพระพุทธเจ้าสอนไว้ก็ไม่ผิด ไม่ได้ยกย่องหลวงพ่อเทียน ไม่ได้โอ้อวด พูดถึงเรื่องที่มันเป็นได้ มีได้ ทำได้ในชีวิตนี้ ไม่ใช่รอให้ตายลง ทุกคนทำได้ มีได้เป็นได้
a8a8a8a8a8a8a8a8a8a
หลวงพ่อเทียน เป็นครูผู้ฝึกสอนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าก็ทำตามที่ท่านสอนทุกอย่าง ให้สร้างจังหวะและเดินจงกรม เพื่อเป็นการปลูกสติ มีสติเห็นกายที่เคลื่อนไหว มีสติเห็นใจที่มันคิด ให้เป็นผู้ดูธรรมชาติสองอย่างนี้ สติสัมปชัญญะเป็นดวงตาภายใน เป็นผู้เฝ้าดูกายดูใจ จนเห็นธรรมชาติสองอย่างนี้ ได้คำตอบว่า เป็นเพียงแต่รูปธรรม นามธรรม เท่านั้น ไม่ใช่ตัวตนที่ไหน เป็นธรรมชาติล้วน ๆ เห็นแล้วรู้จริงว่า เป็นแต่เพียง รูป นามตอบมันได้ หมดปัญหา ผ่านได้
ต่อไปท่านสอนให้ดูทุกข์ ที่มันมีอยู่กับรูป และที่มันมีอยู่กับนามเราก็มาดูรูปก่อน ที่มันเป็นรูปธรรม เมื่อเรามีสติสัมปชัญญะดูรูป มันก็เห็นว่ามันเป็นรูปทุกข์ เป็นกองทุกข์ เป็นก้อนทุกข์ หายใจนี้ก็คือแก้ทุกข์กินก็แก้ทุกข์ ตลอดถึง ยืน เดิน นั่ง นอน ก็คือแก้ทุกข์ให้รูป และเห็นว่ามันเป็นรูปโรค การเจ็บไข้ได้ป่วยก็ต้องหาวิธีแก้ให้มัน ทุกข์ของรูปนี้มีแต่แก้ให้มัน ทำได้แต่เพียงนี้ จะละไม่ได้ เกินนี้ต้องบอกคืนมันไป นี้เป็นเรื่องของรูปธรรม ส่วนนามธรรมก็เห็นแจ้งอีกนั่นแหละถ้าเราดูสภาพจิตใจ เหมือนกับว่าเรานั่งอยู่ในห้องกระจก อะไรเข้ามาก็เห็นทันที ใจหรือจิตใจแต่เดิมมันก็ปกติ แต่อารมณ์มันจรมา คืออาคันตุกะมันจรมา จะเป็นความดีใจ เสียใจ ก็เห็นมัน มันรัก มันโกรธมันโลภ มันหลง ก็เห็นมัน เห็นทุก ๆ อย่างเพราะเราเป็นผู้ดู ถ้าดูมันก็เห็น เห็นแล้วมันละได้ไม่เป็นไปกับมัน ไม่เหมือนกับดูรูปธรรมนะ ทุกข์ของรูปละไม่ได้ ทำได้แต่เพียงแก้ เช่นหิวข้าวก็ต้องกินข้าวแก้ แต่แก้อยู่อย่างนั้น จะไม่ให้มันหิวไม่ได้ ไม่เหมือนกับใจ จิตใจนี้ละได้เด็ดขาดเลยละทีเดียวไปได้ตลอดชีวิต จนไม่มีเกิด มีแก่ มีเจ็บ มีตาย นี่ถ้าเรามาศึกษาให้ถูกจุด ถูกเป้า มันไม่ยาก เหมือนกับกุญแจที่ใช้ถูกลูก มันก็เปิดออกได้ทันที ไม่เสียเวลา
หลักของสติปัฏฐานสี่นี้ ถ้าจะเปรียบเหมือนกับกุญแจก็ได้ หรือจะเหมือนเครื่องมือการเดินทางที่สมบูรณ์แบบผ่านได้ตลอด กาย เวทนา จิต ธรรมารมณ์ เป็นด่านกักขังมนุษย์ ยากที่จะพ้นไปได้ แต่ถ้าเราได้เจริญสติปัฏฐาน ทำให้มาก เอา กาย เวทนา จิต ธรรม เป็นเวที สติสัมปชัญญะก็จะเป็นแชมป์ในเรื่องนี้ ได้ชัยชนะผ่านได้ตลอด เพราะรู้ว่ากาย เวทนาจิต ธรรม ไม่ใช่ตัวตนที่ไหน เป็นการสารภาพ จำนน ต่อสติ
ความจริงหนีความจริงไปไม่ได้ ความไม่จริงก็ทนต่อการพิสูจน์ไม่ได้ หลักของสติปัฏฐานที่นี้ อุปมาอันหนึ่งก็คือ พิพากษาตุลาการที่เที่ยงตรง ทรงอำนาจแห่งความเที่ยงตรง ฟ้องทุกข์ ตัวกูของกู ตัวตนยินดี ยินร้าย ดีใจ เสียใจ กิเลสตัณหา ภพ ชาติ เกิดขึ้นไม่ได้ สติปัฏฐานนี้ถ้าอุปมาอันหนึ่งก็คือ เป็นการคุมกำเนิดของทุกข์ ถ้าชื่อว่าทุกข์แล้วหาที่ตั้งไม่ได้ เพราะเห็นตั้งแต่ต้นแล้วว่า เป็นแต่เพียงรูป นาม พอเห็นว่าเป็นรูปธรรม เป็นนามธรรม ตั้งแต่ต้น ก็กระทบกระเทือนไปถึงตัวทุกข์ทันที สั่นคลอนไปเลย เป็นไปเพื่อความสิ้นทุกข์ เป็นไปเพื่อความสงบ เป็นไปเพื่อความดับไม่เหลือแห่งทุกข์ทั้งหลาย