การเจริญสติที่ทำให้เกิดปัญญา

การเจริญสติที่ทำให้เกิดปัญญา  (หน้า 60)
สำหรับอาตมา. มีประสบการณ์ว่า การเจริญสติไม่จำเป็นต้องนั่งหลับตา. หลวงพ่อเคยทำวิธีหลับตามาแล้ว แต่ไม่เกิดปัญญา, พอมาทำวิธีใหม่ วิธีของหล่วงพ่อนี้มันเกิดปัญญา ทำให้รู้สึกว่าถูกต้องกับตำรับตำราของคนสมัยใหม่. 1 วิธีของหลวงพ่อนี้ บางคนอาจจะคิดว่าเป็นของใหม่ก็ได้ เพราะยังไม่เคยได้ยิน, แต่ความจริงแล้วเป็นของเก่าตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าสอนนั่นแหละ.


ก. ปลุก "ตัว" ให้รู้สึกและตื่นอยู่เสมอ
การเจริญสติที่อาตมาทำมาและกำลังเล่าให้ฟังอยู่นี้ทำดังนี้ :
สมมติว่าเรากำลังนั่งพับเพียบหรือกำลังนั่งเก้าอี้หรือกำลังนอนหรือยืนก็ได้ ให้เอาสติมาจับความเคลื่อนไหวของมือ, พลิกมือขึ้น คว่ำมือลง ยกมือขึ้น เอามือลง;  ให้มีสติรู้ทุกอิริยาบท. ทำอย่างนี้บ่อย ๆ นี่เป็นการเจริญสติอย่างหยาบๆ. พูดง่ายๆ คือให้มีสติอยู่ทุกอิริยาบถไม่ว่าจะนั่งนอนยืนเดิน จะทำอะไรอยู่ก็ตามให้รู้สึก.
การทำวิธีนี้ใครๆ ก็ทำได้ จะนับถือศาสนาอะไรก็นำเอาไปทำได้ทั้งนั้น ไม่ว่าชนชาติใดก็ทำได้ เพราะทุกคนมีกายกับใจด้วยกันทั้งนั้น, ทุกศาสนาก็สอนเหมือนกันหมดคือให้ละความชั่วทำความดี.
1 นับแต่พระไตรปิฎกที่เขียนจารคัดลอกกันมาจนถึงหนังสือตำราการปฎิบัติธรรมทั้งหลายเพื่อให้เกิดปัญญาและพ้นทุกข์นั้น นับได้ว่าเป็นของใหม่หรือเป็นตำรับตำราของคนสมัยใหม่ เพราะในสมัยพุทธกาลนั้นยังไม่ได้มีการเขียน
ข. ปลุก "ใจ" ให้รู้สึกและตื่นอยู่เสมอ
เมื่อเจริญสติจนชำนาญแล้ว ให้เอาสติเข้าไปจับความรู้สึกของจิตใจ คือรู้ตามอารมณ์ ไม่ว่าจะคิดอะไรก็ให้รู้ให้เห็น ให้คอยจับดูความคิดของตัวเองอยู่ตลอดเวลา, คือดูจิตดูใจของตัวเองตลอดเวลาไม่ว่าจะทำอะไร : จะอ่านหนังสือ เขียนหนังสือ ขุดดิน ฟันหญ้า อาบน้ำ ทำอะไรก็ตาม. ให้คอยเฝ้าดูจิตดูใจของตัวเองตลอดเวลาว่าเกิดความรู้สึกอย่างไรขึ้น : พอใจ ไม่พอใจ กังวล สงสัย ฯลฯ, ซึ่งเป็นความคิดเป็นอารมณ์ ; ก็ให้เราเฝ้าดูความคิดดูอารมณ์นั้น แล้วเราจะเห็นความคิดต่าง ๆ เช่น ความดีใจ เสียใจ อยากได้ อย่างไม่ได้ โกรธ เกลียด ฯลฯ ; มันไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลา มันเกิดขึ้นแล้วมันก็ดับไป เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา กล่าวคือเราไม่ได้ดีใจหรือเสียใจอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง
ค. ให้รู้-เห็นความที่เป็นจริง
การเปลี่ยนแปลง (ที่กล่าวข้างต้นในข้อ ข.) นี่แหละที่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่าเป็น อนิจจัง-ทุกขัง-อนันตา. ฉะนั้น เราอย่าไปตามอารมณ์ถ้าเราไปตามอารมณ์เราก็จะเกิดทุกข์. เราเพียงแต่คอยดูมัน พอคิดอะไรวูบขึ้นมา ก็ให้รู้-ให้เห็น, พอเรารู้มันจะหยุด. การหยุดก็เท่ากับว่าเราได้ทำลายกิเลสนั่นเอง.