อารมณ์ของการปฏิบัติ

อารมณ์ของการปฏิบัติ  (หน้า 99)

       ตั้งใจฟังให้ดี ญาติโยมและเพื่อนภิกษุสามเณรทั้งหลาย เมื่อตั้งใจฟังแล้วก็จดจำได้ เรียกว่า รู้จำ-รู้จัก จากนั้นเราก็มาศึกษาหรือปฏิบัติให้ รู้แจ้ง-รู้จริง หรือมีญาณทัสนะของเราเองเห็นเองเข้าใจเอง การมาศึกษาและปฎิบัติธรรมนั้นส่วนมากเรายังไม่รู้และไม่เข้าใจ คือเรารู้แต่เพียงการทำบุญให้ทานและรักษาศีลและการทำสมถกรรมฐานเท่านั้น ส่วนลึกเข้าไปกว่านั้นอีก คือเรื่องเจริญวิปัสสนากรรมฐานนี้รู้กันน้อยเข้าใจน้องจริง ๆ เรื่องวิปัสสนานั้น มักจะมีเฉพาะกรณีเฉพาะบุคคลใดบุคคลหนึ่งรู้ขึ้นมาแล้วนำมาสอนนำมาพูด เมื่อเป็นดังนี้คนก็เลยเกียจคร้านไม่อยากปฎิบัติ ที่ปฎิบัติก็รู้ได้เพียงสมถกรรมฐานเท่านั้น แล้วก็เข้าใจไปเองว่าตัวเองทำวิปัสสนา ทั้งนี้เพราะยังไม่รู้แจ้งรู้จริง ยังเป็นแต่เพียงรู้จำรู้จักเท่านั้น ดังนั้น เราจึงมาทำความสงบกัน แต่ก็ไม่เข้าใจถ่องแท้ในเรื่องของความสงบว่าความสงบนั้นมีอยู่ ๒ อย่างด้วยกัน กล่าวคือ สงบใต้โมหะ อย่างหนึ่ง สงบด้วยสติปัญญา เป็นอีกอย่างหนึ่ง


ทางที่มิใช่ทาง
      
       ความสงบที่ไปทำกันนั้น ผลมันเกิดขึ้นเพราะเหตุคือเราไปทำไปสร้างความสงบมันขึ้นมา เช่นเราไปภาวนาพุทโธ ซึ่งผมเองเคยทำมาก่อนแล้ว หายใจเข้าว่า พุท หายใจออกว่า โธ เวลาเดินจงกรมก็ว่า พุทโธ ก้าวเท้าไปก้าวเท้ามา แล้วให้จังหวะถูกต้องกับลมหายใจ สิ่งเหล่านี้เป็นความสงบเพราะมันทำช้า ๆ
       ต่อมา มีอาจารย์ท่านหนึ่งชื่ออาจารย์เสาร์ มาจากภาคเหนือ พูดให้ผมฟังว่า การขึ้นต้นไม้นั้นจะขึ้นปลายทีเดียวไม่ได้ มันต้องขึ้นไปจากโคนต้น ท่านก็มาสอนผมให้นับหนึ่ง-สอง-สามไปจนถึงสิบแล้วย้อนจากสิบ-เก้า-แปดลงมาถึงหนึ่ง อันนี้ท่านว่าเป็นการขึ้นต้นของมัน ซึ่งก็เป็นวิธีตามลมหายใจเหมือนกัน คือหายใจเข้าก็ว่าหนึ่ง หายใจออกก็ว่าสอง ฯลฯ ผิดกันแต่คำพูดคำภาวนาเท่านั้น ส่วนหลักการอันเดียวกันคือให้ถูกต้องตามลมญาณ แล้วแต่จะพูดไป ได้เท่านั้นได้เท่านี้ ผมทำมาแล้ว ขอพูดตรง ๆ นี้แหละ - มันเป็นการเดาคาดคิดคาดคะเนเองเอง แต่ก็ดีเหมือนกัน
      

สิ่งที่กล่าวมานี้ รวมความแล้วก็คือการดูลมหายใจทั้งนั้น นั่งดูลมหายใจเข้า-ลมหายใจออก สั้น-ยาว ให้รู้จัก ดูลมหยาบ-ลมละเอียด ให้รู้จัก ดูไป ๆ มันละเอียดเข้า ๆ ก็เลยหลงต้นลม-ปลายลมหายใจแล้วก็ตัวแข็ง นั่งสงบอยู่อย่างนั้น แลยหลงไม่รู้จักลมหายใจ คำว่า "หลง" นี้เป็นภาษาบ้านเราเทียบได้กับภาษาในทางธรรมะว่า "โมหะ" สิ่งเหล่านี้ผมทำมาแล้วและมีความสามารถที่จะสอนผู้อื่นได้ วิธีทำสมาธิตัวแข็งนี้ผมสอนได้จริง ๆ ถ้าหากญาติโยมคนใดต้องการ; แต่หากว่ามันเป็น "ความสงบใต้โมหะ" สงบใต้ความหลง ไม่ใช่ "ความสงบแบบปัญญา" ตามความเข้าใจของผม การกระทำวิธีนี้ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า
       
ในสมัยที่เจ้าชายสิทธัตถะยังไม่ได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าไปศึกษาอยู่กับอาฬารดาบสและอุทกดาบส ๒ อาจารย์นี้จนได้สมาบัติเจ็ดสมาบัติแปด เข้าฌานออกฌานได้คล่องแคล่วว่องไวเหมือนกับอาจารย์ แต่ก็ยังมีความทุกข์อยู่ เพราะยังคิดถึงคนนั้นคนนี้ ชอบคนนั้นเกลียดคนนี้ ตาเห็นรูปหูได้ยินเสียง บางครั้งก็พอใจบางครั้งก็ไม่พอใจ ถึงแม้ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน ก็ยังคิดถึงราหุลพระนางพิมพาผู้เป็นโอรสและมเหสี คิดถึงพระราชวัง คิดถึงสมบัติ คิดถึงนางสนมกำนัลผู้ให้ความบำรุงบำเรอ ; อันนี้แสดงว่าความทุกข์ยังมีอยู่ อันนี้เรียกว่า รู้จำ-รู้จัก แต่ยังไม่ใช่การรู้แจ้ง-รู้จริง ; ไม่ใช่ทางพ้นทุกข์ เมื่อไปถามอาจารย์ อาจารย์ก็บอกว่าหมดความรู้ที่จะสอนแล้ว พระองค์ก็เลยลาอาจารย์ แต่อาจารย์ไม่อยากให้ไปอยากให้อยู่ประกาศธรรมที่เรียนมานั้น พระองค์มีความปรารถนาแรงกล้าที่จะดับทุกข์ ก็เลยหนีอาจารย์ พระองค์มาปฎิบัติอีกหลายวิธี ; มากลั้นลมหายใจ ไม่กินข้าว ไม่กินน้ำ ไม่พูดกับใคร ฯลฯ บางสมัยกินเท่าเมล็ดงา เมื่อเป็นดังนี้ร่างกายก็เริ่มซูบผอม มีแต่หนังหุ้มกระดูกเอ็นรัดรึงกันอยู่เท่านั้น ไปไหนมาไหนก็ลำบาก อันนี้แสดงว่า สิ่งเหล่านี้มีอยู่ก่อนพุทธกาล ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เป็นแต่เพียงคำสั่งสอนของครูบาอาจารย์โดยทั่วไป
       
ในประเทศอินเดียมีหลายลัทธิ พวกเราก็คงจะเคยได้ยินได้ฟังกันม บางลัทธิ เปลือยกายไม่นุ่งผ้า บางลัทธิฝึกสอนให้ทรมานกายโดย นอนบนเสี้ยนบนหนาม ซึ่งเราก็รู้ดีกันอยู่ว่าหนามตำก็เจ็บ บางลัทธิก็ นอนย่างไฟ ฯลฯ ถ้าหากเราเข้าใจเรื่องตำรับตำรารู้จำมาดีแล้วเราก็จะเข้าใจได้ง่าย อย่างลัทธิไม่นุ่งผ้า เมื่อมาคิดถึงเด็ก ๆ ที่เกิดมาใหม่ ๆ ก็ไม่นุ่งผ้าเช่นกัน พอโตขึ้นก็หาได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไม่ หรืออย่างนอย่างไฟ ก็ลองคิดเทียบกับหญิงคลอดลูกใหม่ ๆ อยู่ไฟ ผมเห็นแม่ลูกอ่อนบ้านผมนอนย่างไฟกินน้ำร้อน กิเลสก็หาได้หมดไปไม่ และไม่ได้เป็นพระอริยบุคคลด้วย เราก็เห็นกันอยู่ด้วยตา แล้วก็ยังพิจารณาได้หากมีปัญญา สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแต่เป็นทิฎฐิความเห็น และทำไปเพราะความไม่รู้ เมื่อไม่รู้ก็ทำไปแบบงมงายอย่างนั้น ต่างคนต่างทำคล้ายกับคนตาบอดหลงทาง รอโอกาสอยู่แต่ว่ามันจะถูกทางเมื่อใด-เป็นอย่างนั้น
       
ต่อมาพระองค์ก็เห็นว่าการทำอย่างนั้นมันเป็นทางที่มิใช่ทางพ้นทุกข์ จึงเลิกละจากสิ่งเหล่านั้น มากินมะขามป้อมและสมอนี่แหละ ปัญจวัคคีย์เห็นดังนั้นก็เข้าใจว่าพระองค์คงจะไม่ได้ตรัสรู้อล้ว เพราะเลิกละความเพียรเวียนมามักมากแล้วจึงหนีจากพระองค์ไป นี่แหละเรื่องของความไม่เข้ามจ พวกเราที่ได้เรียนนักธรรมตรีนักธรรมโท นักธรรมเอกหรือเรียนบาลีมารู้จักดี อันนี้ชื่อว่ารู้จำ ที่ผมพูดมานี้พ่อแม่ครูบาอาจารย์เล่าให้ฟังก็รู้จำมา
      
เมื่อพระองค์ทรงดำเนินมาตามลำพังพระองค์เดียว ก็รู้สึกสงัดกายสงัดวาจา แต่ใจยังไม่สงัด แล้วมาพบนางสุชาดา ซึ่งกำลังจะเอาข้าวไปบวงสรวงเทวดา ; นี้ก็แสดงว่า การอ้อนวอนบวงสรวงก็มีมาก่อนพุทธกาลแล้ว ตามที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ ผู้มีปัญญาก็พอจะเข้าใจได้ว่า การทำบุญให้ทานรักษาศึลหรือทำสมถกรรมฐานนั้น ไม่ใช่คำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ก็พอสงเคราะห์ได้ว่าเป็นการกระทำดีซึ่งก็ดีกว่าทำชั่ว หรือว่าเอาบุญดีกว่าเอาบาป แต่ก็เรียกได้แต่เพียงว่า "ทำดี" เฉย ๆ เท่านั้นเอ เพราะมันยังดับทุกข์ไม่ได้
        ที่เล่าให้ฟังนี้ เพื่อให้ทำความเข้าใจว่าอะไรควรอะไรไม่ควร บางท่านอาจไม่เชื่อ บางท่านอาจบอกว่า มันต้องทำไปตามขั้นตอนต้องสร้างสมอบรมบารมี ; จะคิดเอาอย่างนี้ก็ได้ แต่ถ้าหากเป็นคนมีปัญญาแล้ว จะฟังเข้าใจ ที่พวกเรามาอยู่ที่นี้ก็เพื่อมาปฎิบัติธรรม จึงขอให้ทุกคนทำตัวเป็นต้นข้าวชนิดที่หนึ่ง เป็นเมล็ดที่สมบูรณ์แก่ดีเต็มดี เอาไปเพาะปลูก มันออกหน่อง่าย ถ้าเป็นข้าวเมล็ดผอมเมล็ดเล็กมันอาจออกหน่อได้ช้า ถ้าเป็นข้าวลีบ ก็ไม่ออกเลย - เป็นอย่างนั้น
      
ฉะนั้น จงตั้งใจฟัง เพื่อความเข้าใจ ให้รู้จำ-รู้จัก-รู้แจ้ง-รู้จริง
มาทางนี้
        การบวงสรวงอ้อนวอนเทวดาของนางสุชาดานั้น ทำให้เราเห็นเราเข้าใจได้ว่า มันมีมาก่อนศาสนาของพระพุทธเจ้าแล้ว จึงเป็นที่น่าคิดว่า การจะตั้งปรารถนาสิ่งใดเอาเฉย ๆ นั้น ย่อมไม่สำเร็จได้ ถ้าหากเขาไม่ลงมือกระทำ ความสำเร็จมันต้องเกิดจากการกระทำ ดังนั้นขอให้พวกเราอย่าเกียจคร้าน จงตั้งอกตั้งใจฝึกตนเองปฏิบัติตนเอง ด้วยการเจริญสติให้ติดต่อกัน
       เรื่องการเจริญสตินี้ ในหนังสือนวโกวาทได้ให้อรรถาธิบายไว้ว่า ธรรมที่มีอุปการะมากมี ๒ อย่างคือ สติ-ความระลึกได้ สัมปชัญญะ-ความรู้ตัว บางคนก็เข้าใจน้อย บางคนก็เข้าใจมาก คำว่า "มีอุปการะมาก" หมายถึงมีค่ามีคุณมาก แต่ไม่ได้คิดเป็นเงินเป็นทองเท่านั้นบาทเท่านี้ร้อยเท่านั้นพันเท่านี้แสน ไม่ใช่อย่างนั้น แต่หมายถึงว่าผู้ใดเจริญสติมาก คือทำความรู้สึกในการเคลื่อนไหวทั้งส่วนกายและส่วนจิตให้มาก จะมีอานิสงฆ์มีผลมากในทางที่จะไม่เป็นทุกข์
       ภายหลังจากที่เจ้าชายสิทธัตถะเสวยหรือฉัน หรือจะพูดง่าย ๆ ว่ากิน ข้าวที่นางสุชาดาถวายมานั้นหมดแล้ว พระองค์ก็นำถาดนั้นไปอธิษฐานที่ริมแม่น้ำ ดังที่เคยเล่าให้ฟังแล้ว ต่อจากนั้นก็ทรงกลับไปนั่งใต้ต้นโพธิ์ทำธุระทางจิตทางใจ - ท่านว่าอย่างนั้น พวกเราก็เลยไปเชื่อตำรับตำราว่าพระพุทธเจ้าบำเพ็ญเพียวทางจิตทางใจ แต่ก็ไม่เข้าใจวิธีการ เกิดความสงสัยว่าทำอย่างไรล่ะ! เพราะเราก็ไม่รู้จัก ก็เลยมานั่งภาวนาพุทโธบ้า ; สัมมาอรหังบ้าง ; พอง-ยุบบ้าง ; นับหนึ่ง-สอง-สามบ้าง ; อานาปานสติบ้าง แล้วแต่ความคิดเห็นของใคร และก็เรียกว่าเป็นการเจริญสติ เป็นการบำเพ็ญทางจิตทางใจ การเจริญสตินั้น ไม่เกี่ยวข้องกับการไปนั่งหลับตา
        ต่อมา เมื่อพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว ดับทุกข์ดับร้อนเป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ทรงเล็งญาณไปถึงอาจารย์ทั้งสอง อาฬารดาบสกับอุทกดาบส ก็ทรงอุทานว่า ฉิบหายแล้ว ตายแล้ว ไม่รู้แล้ว-พูดง่าย ๆ ว่าอย่างนั้น คำว่า “ตายแล้ว” นี้ บางทีหมายถึงคนมีความรู้มากจนไม่ยอมฟังไม่ยอมเชื่อฟังเราพูด-อย่างนี้ก็ได้ ดั่งมีคำโบราณว่า “เรียนรู้มาก ยากนาน เรียนรู้น้อย พลอยรำคาญ” ; คือ เรียนรู้มากไม่ฟังใครก็เลยไม่รู้ของจริง เรียนน้อยความรู้น้อยก็พลอยสงสัยเรื่อย ปฎิบัติไปผิด-ถูกก็เอาแต่สงสัย
       เมื่อไม่มีโอกาสจะโปรดอาจารย์ พระองค์ก็เลยเดินทางไปหาปัญจวัคคีย์ทั้งห้า เดินไป ๆ พบนักบวชรูปหนึ่งชื่อ อุปกาชีวก เป็นผู้แสวงหาธรรม แสวงหาความหลุดพ้น แสวงหาพระพุทธเจ้า แต่เมื่อเจอพระองค์ระหว่างทาง เห็นบุคลิกลักษณะดี น่าเลื่อมใสศรัทธาจึงถามพระองค์ว่า ท่านเป็นลูกศิษย์ของใคร อยู่สำนักไหน กิริยามารยาทเรียบร้อยดี พระองค์ก็ทรงตรัสตอบไปตรง ๆ ว่า เราไม่ได้อยู่สำนักใด ไม่ได้เป็นศิษย์ใคร เรารู้เองเห็นเองเข้าใจเอง เรียกว่าตรัสรู้ชอบเองนั้นแหละ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่น่าคิดเหมือนกันว่า คนเรานั้นต้องการความจริง ครั้นเมื่อพูดความจริงให้ฟังกลับไม่เชื่อเสียแล้ว อุปกาชีวกก็เป็นเช่นนั้น เมื่อได้ยินพระดำรัสตอบก็เลยไม่เชื่อ แลบลิ้นให้พระองค์แล้วก็หลีกหนีสวนทางไปเลย เป็นอย่างนี้แหละ เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า เมื่อเราฟังแล้วก็อย่ามีทิฎฐิมานะ เมื่อฟังให้ตั้งใจ แล้วไปปฏิบัติตามลองดูบ้าง
      
       ในตำรับตำราหนังสือธรรมวิจารณ์ของนักธรรมเอก ผมไปอ่านแล้ว ผู้ที่เจริญสติปัฏฐานสี่ให้ติดต่อกันเหมือนลูกโซ่นั้น ท่านว่าอย่างนาน ๗ ปี อย่างกลาง ๗ เดือน อย่างเร็วที่สุด นับตั้งแต่ ๑-๗ วัน หรือ ๑๕ วัน – มีอานิสงฆ์ ๒ ประการ : หนึ่ง- เป็นพระอรหันต์ สอง-เป็นพระอนาคามี ในปัจจุบันภพนี้ชาตินี้ ; ท่านกล่าวว่าอย่างนั้น ทีนี้มีบางคนทำมาถึง ๙ ปี ๑๐ ปี บางคน ๑๔ ถึง ๑๕ ปี หรือ ๒๐ ปีก็มี – แต่ไม่เข้าใจ ทำไปถึงเจ็ดปีแล้วแต่ยังไม่รู้ไม่เห็นก็แสดงว่าไม่ถูกทางแล้วนี่ ; มันเป็นอย่างนั้น ส่วนอาจารย์ที่สอนผมนี้ ท่านว่าท่านทำมาหลายปีแล้ว ท่านก็ว่าท่านรู้ แต่ก็ยังมีความโกรธอยู่ ความโกรธนั่นแหละคือกิเลส

       วกกลับมาถึงเรื่องปัญจวัคคีย์ ท่านทั้งห้านี้ตอนแรกก็ไม่เชื่อ พระองค์ก็เลยบอกว่าตั้งใจฟังเสียก่อน สิ่งที่เรากล่าวนี้พวกท่านเคยได้ยินเราพูดอย่างนี้มาก่อนไหม ปัญจวัคคีย์ตอบว่าไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน จึงตั้งใจฟัง อัญญาโกณฑัญญะ ฟังแล้วเกิดได้ดวงตาเห็นธรรม – รู้ธรรม ส่วนอีก ๔ คนนั้นยังไม่รู้ อันนี้ ท่านอุปมาไว้เหมือนกับดอกบัวสี่เหล่า กล่าวคือ การตรัสรู้นั้น ท่านเปรียบว่าเหมือนกับดอกไม้ได้แสงตะวัน ดอกไม้ที่โตสมบูรณ์เต็มที่เปรียบเหมือนผู้มีธุลีในตาน้อย เมื่อตะวันส่องแสงมากระทบเกิดความร้อนความเย็นมากระทบเกิดความอบอุ่น ดอกไม้ก็บานได้ตามต้องการ จึงว่าการฟังธรรมนั้น ให้ตั้งใจฟังแล้วปฏิบัติตาม ฟังท่านแล้วเฝ้าดูใจเราไปพร้อมด้วย