บันทึกการอาพาธของหลวงพ่อ

บันทึกการอาพาธของหลวงพ่อ
นายแพทย์วัฒนา สุพรหมจักร
หลวงพ่อ ได้ไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลสมิติเวชครั้งแรก เมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2526 เพราะมีอาการปวดท้อง โดยที่ท่านเคยได้รับการผ่าตัดกระเพาะอาหารเมื่อ 1 ปีก่อนหน้านี้ที่โรงพยาบาลศิริราช ซึ่งในเวลาต่อมา ท่านได้มีก้อนเกิดขึ้นในช่องท้อง แพทย์ได้ตรวจท่านหลายครั้ง รวมถึงการตรวจทางเอกซเรย์ และการส่องกล้องเข้าไปตรวจในกระเพาะอาหาร เนื่องจากท่านยังไม่ตัดสินใจที่จะผ่าตัดอีก แพทย์จึงได้พยายามให้ยารักษา โดยที่ให้การวินิจฉัยว่าน่าจะเป็นมะเร็งของกระเพาะอาหาร
เมื่อท่านเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสมิติเวชนั้น ได้พบว่ามีการอุดตันของกระเพาะอาหารมาก ไม่สามารถจะรักษาด้วยการให้ยา จึงได้แนะนำให้ท่านผ่าตัดที่นี่
ผลการผ่าตัดเมื่อ 14 พฤศจิกายน 2526 นั้น พบว่า ท่านเป็นมะเร็งค่อนข้างมากแล้ว มะเร็งได้ลามไปมากกว่าครึ่งหนึ่งของกระเพาะอาหาร มีบางก้อนของมะเร็งขนาดโตเกือบถึง 11 เซนติเมตร และได้ลุกลามไปยังต่อมน้ำเหลืองบริเวณข้างเคียงด้วย
แพทย์ไว้ตัดกระเพาะอาหารท่านออกเกือบหมด เมื่อได้ตรวจทางพยาธิวิทยา ก็พบว่า ท่านเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาการชนิด Diffuse Histiocytic Lymphoma ที่ได้กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองแล้ว
แม้ว่าท่าน จะได้รับการผ่าตัดใหญ่ แพทย์ผู้รักษาได้พบว่า ท่านมีแต่ความสงบ ปราศจากการตื่นเต้น กระวนกระวาย หรือปฏิกิริยาใด ๆ ไม่ว่าจะเนื่องจากความเจ็บปวดก็ดี หรือ เมื่อภายหลังได้เรียนให้ทราบว่าท่านเป็นโรคมะเร็งที่ลุกลามไปแล้วก็ดี เมื่อได้ถามถึงความเจ็บปวดหลังผ่าตัด ท่านจะตอบด้วยความสงบว่า
ปวดเป็นธรรมดา ยังไม่ต้องฉีดยาหรอก
และเมื่อได้อธิบายให้ท่านทราบว่า ต้องใช้ยาและการฉายรังสีในการรักษาต่อหลังผ่าตัด ท่านได้พูดแต่เพียงว่า
เรื่องการเจ็บป่วยทางกายก็ต้องให้หมอรักษา ถ้าต้องการให้ได้ผลการรักษาที่ดี ก็ต้องปฏิบัติตามคำแนะนำ
หลวงพ่อได้ไปตรวจและรับการรักษาที่โรงพยาบาลสมิติเวช รวมทั้งการฉายรังสีรักษา ที่โรงพยาบาลรามาธิบดีอย่างสม่ำเสมอ จนครบกำหนด เป็นที่น่าประจักษ์ว่า ท่านเป็นผู้ที่มีความสังเกต และรู้ตัวเองเป็นอย่างดี บอกอาการข้างเคียงจากการให้ยา หรืออธิบายกลุ่มอาการ Dumpingsyndrome สืบเนื่องจากการตัดกระเพาะอาหาร ที่เกิดกับท่านได้อย่างชัดเจน
ซึ่งเมื่อท่านได้รับคำอธิบายให้เข้าใจว่า อาการเหล่านี้เกิดขึ้น เนื่องจากการให้ยา หรือผ่าตัดก็ดี ท่านยอมรับและไม่สนใจมันอีกต่อไป อาการต่าง ๆ เหล่านี้ ในระยะต่อมาปรากฏว่าดีขึ้นมาก
แม้ว่าท่านจะมาตรวจรักษาอย่างสม่ำเสมอ 3 ปีต่อมา แพทย์ได้ตรวจพบว่า ท่านมีโรคมะเร็งเกิดขึ้นอีกที่ลำไส้เล็กต่อกับลำไส้ใหญ่ตอนต้น จึงได้ทำผ่าตัดให้อีกครั้งเมื่อวันที่ 10 มีนาคม 2529 ผลการตรวจก็พบว่า เป็นมะเร็งชนิดเดิม การผ่าตัดสำเร็จด้วยดีและ ท่านได้ฟื้นตัวเร็วเหมือนครั้งที่แล้ว แต่ก็ต้องให้การรักษาทั้งทางยา และการฉายรังสีอีกครั้ง
แม้ว่าจะมีผลแทรกซ้อนข้างเคียงบ้าง แต่ก็น้อยกว่าคราวก่อน ถึงท่านจะเป็นคนป่วย แต่ท่านไม่เคยทำตัวให้ป่วย และไม่เคยก้อถอย ตรงกันข้ามกลับพยายามที่จะเผยแพร่ธรรมะอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยแสดงความรำคาญต่อการถาม หรือการที่ขอให้ท่านอธิบายเรื่องธรรมะต่าง ๆ ส่วนในเรื่องความสงบ และ ความรู้สึกตัวของท่านนั้น ไม่เคยเปลี่ยนแปลง
เมื่อต้นปี 2531 ร่างกายของท่านรู้สึกว่าได้ทรุดถอยลง แพทย์ตรวจพบว่า ก้อนน้ำเหลืองที่ใต้คางและคอโตขึ้น เมื่อท่านได้มาตรวจในวันที่ 29 มีนาคม 2531 ซึ่งเป็นลักษณะของมะเร็งได้ลุกลามขึ้นมาอีก แพทย์ได้พยายามที่จะให้ยาควบคุมโรคดังกล่าวอีกครั้ง แต่รู้สึกว่าได้ผลไม่ดีเหมือนเดิม
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2531 ท่านได้ไปตรวจครั้งสุดท้าย ด้วยอาการเป็นไข้และไอ แพทย์ตรวจพบว่าท่านมีปอดขวาอักเสบ และต่อมน้ำเหลืองใต้คอเริ่มมีการอักเสบเกิดขึ้นอีก ผลการตรวจทางห้องปฏิบัติการพบว่าการอักเสบนี้เกิดจากเชื้อ salmonella gr Bที่แพร่กระจายไปทั่วร่างกายซึ่งมีปัญหามากในการรักษาในคนป่วยที่มีสภาพเช่นนี้
หลวงพ่อ เดินทางกลับ จ.เลยเป็นครั้งสุดท้าย
วันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2531 
 
ท่านได้ปรารภในการรักษาตัวครั้งนั้นว่า เป็นเรื่องหนักสำหรับท่าน แต่ท่านไม่เคยที่จะแสดงความกังวลเที่ยวกับการที่จะอยู่ หรือการที่ท่านจะมรณภาพ นอกจากจะขอให้แพทย์ผู้รักษาตระหนักว่า ถ้าหากมีทางใดที่จะรักษาได้ก็ให้ทำไป แต่ถ้าคิดว่าการรักษาไม่ได้ผลขอให้บอกท่าน โดยที่ท่านต้องการจะกลับไปจังหวัดเลย และได้บอกว่า ตลอดเวลาที่ไม่สบายครั้งนี้ ท่านสังเกตลมหายใจตัวเองโดยตลอด เพื่อดูว่าจะหยุดเมื่อใด
หลังจากให้การศึกษาครบ 3 สัปดาห์ อาการของท่านกระเตื้องขึ้นบ้าง แต่ผลการตรวจยังพบเชื้อโรค salmonella จากต่อมน้ำเหลืองที่คอทั้ง ๆ ที่ได้ให้ยาปฏิชีวนะอย่างมากมาย แสดงว่าภูมิต้านทานของร่างกายท่านได้ลดน้อยลงอย่างมากจนไม่สามารถจะกำจัดเชื้อโรคดังกล่าวได้
ท่านได้ออกจากโรงพยาบาลสมิติเวช เมื่อวันที่ 4 กันยายน 2531 และได้กลับไปจังหวัดเลย เพื่อที่จะเผชิญกับวาระสุดท้ายอย่างมีสติ และรู้สึกตัวตลอดเวลา จนถึงวันที่ 13 กันยายน 2531 ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว
ในด้านการรักษาโรคดังกล่าว ท่านได้มีมะเร็งที่ลุกลามไปมากแล้วตั้งแต่ต้น แต่ก็ยังมีชีวิตยืนยาว และยังประโยชน์แก่คนอื่นอีก 5 ปี ทั้ง ๆ ที่ได้รับการรักษาทั้งการผ่าตัด การให้ยา และการให้รังสีรักษาจำนวนมาก นับได้ว่าได้ผลดีเกินกว่าที่คาดไว้ ดีกว่าที่ปรากฏในคนไข้คนอื่น ๆ ที่มีสภาพเดียวกันอย่างเทียบไม่ได้
แม้ว่าสภาพร่างกาย และโรคจะไม่แตกต่างกับคนอื่นมากนัก แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดว่า ท่านมีความแตกต่างจาก คนไข้อื่น ๆ ก็คือ ความมีสติรู้ตัวตลอดเวลา รู้สึกตัวท่านเองอย่างดียิ่ง แก้ปัญหาต่าง ๆ อย่างมีเหตุผล และท่านไม่เคยที่จะกลัวกับวาระสุดท้ายของชีวิต มีสภาพที่เป็นอยู่กับภาวะปัจจุบันตลอดเวลา ไม่หวั่นไหวกับอดีต และอนาคตแต่อย่างใด