หลวงตามาก สนฺตมโน

หลวงตามาก สนฺตมโน
วัดเนินตามาก อำเภอพนัสนิคม จังหวัดชลบุรี
อาตมามาอยู่และได้มาบวชอยู่กับหลวงปู่เทียน จิตฺตสุโภนี้ ก็เนื่องจากบุตรสาวของอาตมา ซึ่งเป็นอาจารย์สอนอยู่ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ได้นำนักเรียนเตรียมอุดมศึกษามาปฏิบัติธรรมะตามแนวของหลวงปู่อยู่เป็นประจำ
เขาก็บอกอาตมาว่า อยากให้อาตมาลองปฏิบัติตามแนวหลวงปู่บ้าง ของท่านง่ายดี นั่งลืมตา ไม่ฝืนธรรมชาติ
อาตมาก็เริ่มสนใจ
เสร็จแล้วอีกสองสามวันบุตรชายของอาตมา ซึ่งก็สนใจธรรมะมาก ไปซื้อหนังสือของหลวงปู่ที่ขายอยู่ตามท้องตลาดเอามาหลายเล่ม เสร็จแล้วเขาก็เอามาให้อาตมาหนึ่งเล่ม คือ สว่างที่กลางใจ เล่มสาม
เมื่ออาตมาดูแล้วรู้สึกชอบใจมาก ก็เลยชวนบุตรสาว บุตรชายให้ไปหาหลวงปู่ ขอคำแนะนำจากท่าน
พอไปถึงวัดสนามในที่หลวงปู่อยู่ ก็เข้าไปกราบหลวงปู่ กราบเรียนขอให้ท่านแนะนำแนวปฏิบัติของท่าน ท่านก็แนะนำทุก ๆ อย่าง ตลอดทั้งวิธีกราบ วิธีนั่ง วิธียืน วิธีนอน
แล้วอาตมาก็กราบเรียนท่านว่า อาตมาได้ไปปฏิบัติมาหลายอาจารย์แล้ว สัมมาอรหัง นะมะพะทะ ยุบหนอพองหนอ อานาปานสติ นับหนึ่งถึงสิบ พุท-โธ ก็ได้ปฏิบัติมาแล้ว
หลวงปู่ท่านก็บอกว่า ดีทุกครูบาอาจารย์ ถ้าถูกกับจริต แต่ว่าเราทำวิธีใดก็ตาม ปฏิบัติแล้ว โมหะ โทสะ โลภะ ไม่ลดน้อยลงไป ยังอยู่ตามเดิมก็เรียกว่าไม่ถูกกับจริต
ท่านบอกว่าถ้าปฏิบัติตามแนวของท่านแล้ว อย่างช้า 7 ปี อย่างกลาง 7 เดือน อย่างเร็ว 1 วันถึง 25 วัน มีอานิสงส์สองอย่าง ถ้าไม่เป็นพระอรหันต์ก็เป็นพระอนาคามีแน่นอน ท่านเอาคอประกันเลย
แล้วท่านก็มอบหนังสือให้อาตมาสองเล่ม คือ แด่เธอผู้รู้สึกตัว หนึ่งเล่มกับ มาทางน้ำ หนึ่งเล่ม
เมื่ออาตมารับหนังสือแล้ว อาตมาก็ลาท่านกลับ ก็นำเอาหนังสือสองเล่มนั้นมาอ่าน ก็แน่ใจว่าควรจะปฏิบัติกับหลวงปู่ ก็เลยปรึกษากับโยมผู้หญิงว่า จะผลัดกันไปปฏิบัติธรรมะกับหลวงปู่คนละสิบห้าวัน คนหนึ่งอยู่บ้าน คนหนึ่งก็ไปปฏิบัติธรรมะ
โยมผู้หญิงเขาก็ไปก่อน
วันนั้นเป็นวันที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2529 โยมผู้หญิงเขาก็ให้บุตรชายบุตรสาวไปส่งหาหลวงปู่ เขาไปอยู่ได้ 9 วันเขาก็กลับบ้าน เขาบอกว่ารู้รูป รู้นามแล้ว ครูบาอาจารย์รับรองแล้ว ทีนี้ก็เป็นหน้าที่ของอาตมาบ้าง
วันนั้นเป็นวันที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2529 ตรงกับวันพฤหัสบดีขึ้น 9 ค่ำ เดือน 10 ปีขาล อาตมาเตรียมตัวเสร็จ ก็ให้บุตรชายบุตรสาวไปส่ง
เมื่อไปถึง อาตมาก็เข้าไปกราบเรียนหลวงปู่ว่า ขอเข้าห้องเก็บอารมณ์ 30 วัน หลวงปู่ท่านเมตตาอนุญาต ให้เข้าห้องเก็บอารมณ์ได้
อาตมาก็อาราธนาศีลแปด แล้วขอพรว่า ในการเข้าเก็บอารมณ์ครั้งนี้ ขอให้ได้ดวงตาเห็นธรรม หลวงปู่ท่านก็ให้ศีลเสร็จ แล้วท่านก็ให้พร ขอให้สมหวังดังตั้งใจทุกประการ
อาตมาให้บุตรสาว บุตรชายกลับบ้าน อาตมาก็ไปหากุฏิอยู่ วันนั้นบังเอิญกุฏิเต็มหมด อาตมาเลยนอนที่ศาลาหลังเล็กรับแขกหนึ่งคืน พอวันที่ 12 บ่าย ๆ ก็มีผู้ปฏิบัติธรรมกลับบ้านหนึ่งคน อาตมาก็เข้าไปอยู่แทน แต่กุฏิหลังนี้ด้านหน้าไม่มีฝาปิด อาตมาก็นึกในใจว่า ให้โยมทางบ้านซื้อผ้าใบมาสักหนึ่งผืน เพื่อเอามาปิดด้านหน้า แล้วถึงจะเก็บอารมณ์ อาตมาเลยนอนที่กุฏิหลังนี้หนึ่งคืน
รุ่งเช้าวันที่ 13 เวลา 7 โมงเศษ หลวงพ่อกลม ถามวโร ท่านก็เอาอาหารไปส่งอาตมา เพราะว่าท่านได้พูดกับอาตมาไว้ว่า ถ้าอาตมาเข้าเก็บอารมณ์ ท่านจะส่งอาหารให้ตลอดเลย
เมื่อหลวงพ่อกลมเอาอาหารไปส่งแล้ว ท่านก็พูดว่า วันนี้ควรเก็บอารมณ์ได้แล้ว
อาตมาก็กางกลด กางมุ้งในกุฏิ แล้วก็นั่งปฏิบัติอยู่ในกลด เวลาข้างนอกไม่มีใครอยู่ อาตมาก็ออกไปเดินจงกรมข้างนอก เวลามีคน มีพระ ไปเดินจงกรมอยู่อาตมาก็เข้ามาปฏิบัติอยู่ในกลด
ทำเช่นนี้อยู่ 37 วัน โดยอาตมาอยู่ได้หนึ่งเดือนแล้วก็เลยขออนุญาตหลวงปู่ต่ออีกเจ็ดวัน หลวงปู่ท่านก็มีเมตตาอนุญาตให้
ใน 37 วันนี้ อาตมาเดินกับนั่งสลับกันเป็นลูกโซ่ ได้ 337 ชั่วโมง รับประทานอาหารได้ 1,049 คำ เคี้ยวตั้งแต่ 20 ไม่เกิน 69 ครั้งแล้วกลืน
อาตมาเริ่มทำมาตั้งแต่วันที่ 13 เดินกับนั่งสลับกัน เป็นลูกโซ่ได้ 6 ชั่วโมง
วันที่ 14 อาตมาเดินได้อีก 6 ชั่วโมง แต่ตอนบ่าย เมื่อเดินจงกรมอยู่รู้สึกผิดปกติ กะพริบตารู้ กลืนน้ำลายรู้ ยกมือจะหยิบอะไรก็เริ่มรู้ ก็นึกอยู่ในใจว่า การปฏิบัติธรรมะครั้งนี้ อาจรู้ธรรมะบ้างไม่มากก็น้อย
ต่อไปวันที่ 15 อาตมาเดินได้ 7 ชั่วโมง เพราะตามธรรมดาอาตมาเดินตั้งแต่ตีสี่ วันนั้นพอหกโมงเศษ หลวงปู่ท่านก็มาเดินจงกรมด้วย พอเห็นท่าน ก็นึกว่าจะไปกราบท่าน ท่านก็เลยเดินเข้ากุฏิไปเลย
แล้วในวันนั้น ตอนบ่าย ๆ อาตมาเดิน ๆ อยู่ ก็รู้ธรรมะว่า ให้เอาสติตามกายเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถ อาตมาก็เกิดปีติดีใจมาก หลวงปู่มาก็กราบเรียนหลวงปู่ ท่านก็บอกว่า อย่าไปเชื่อมัน ให้รีบปฏิบัติเข้า อาตมาก็ปฏิบัติต่อไปอีก
จนวันที่ 5 อาตมาก็ปฏิบัติเดินกับนั่ง เป็นลูกโซ่ได้ 35 ชั่วโมงวันนั้นเดินจงกรมอยู่ตอนบ่าย ๆ ก็รู้ธรรมะอย่างหนึ่งว่า จิตในจิต คือความคิดในความคิด ก็เกิดปีติดีใจอีกนะ แต่ก็นึกว่าหลวงปู่ท่านเคยบอกไว้แล้วว่า อย่าไปเชื่อมัน ให้รีบปฏิบัติ
แล้วหลวงปู่ก็มาสอบอารมณ์ กราบเรียนท่านทุกอย่าง ท่านก็เปลี่ยนการปฏิบัติ ให้ยืนรู้ดูความคิด เดินรู้ดูความคิดนั่งรู้ดูความคิด นอนรู้ดูความคิด
เมื่อก่อนท่านสอนแต่เพียงว่ายืนรู้ เดินรู้ นั่งรู้ นอนรู้ ตอนนี้เปลี่ยนเป็นให้ดูความคิด แล้วท่านสอนว่าให้รีบปฏิบัติต่อ
อาตมาก็ปฏิบัติเข้าไปถึงวันที่เจ็ด เดินกับนั่งสลับกันได้ 55 ชั่วโมง ในวันนั้นอาตมานั่งตั้งแต่ตีสี่ นั่งดูความคิด
พอตีห้ายี่สิบก็รู้ธรรมะว่า โทสะโมหะ โลภะ เป็นสาเหตุทำให้เกิดทุกข์ เวลาจะให้ไม่เกิดทุกข์ ต้องเอาสติเฝ้าดูความคิดอยู่ โทสะ โมหะ โลภะ ก็ไม่สามารถเข้ามาได้ แล้วรู้มาอีก ทุกขัง อนิจจัง อนัตตา ความเป็นทุกข์ ความไม่เที่ยง ความไม่ใช่ตัวตน คนมีก็ทุกข์ คนจนก็ทุกข์ ก็เกิดปีติดีใจอีก
พอหลวงปู่มา ก็กราบเรียนท่านทุกอย่าง ท่านก็จูงมือเดินไปที่พื้นทราย แล้วท่านนั่ง ท่านให้อาตมานั่ง ท่านก็เอานิ้วชี้ของท่านเขียนที่พื้นทราย เป็นแม่น้ำสองฝั่ง ท่านบอกว่าอาตมามาถึงฝั่งแล้วนะ ยังไม่ข้ามฟาก ให้ปฏิบัติทำมือไว ๆ รีบปฏิบัติเข้าอาตมาก็ปฏิบัติต่อไปอีก
ถึงวันที่ 19 อาตมาเดินได้ 148 ชั่วโมง เสร็จแล้วอาตมาก็นั่งดูความคิดอยู่ตั้งแต่ตีสี่ พอตีห้า ห้านาที ก็รู้ธรรมะ รู้ธรรมในทำ ทำอะไรก็แล้วแต่ ถ้ามีสติรู้อยู่ นั่นแหละคือธรรมในทำ เสร็จแล้วก็มีแสงสว่างโพลงขึ้นมาภายในกุฏิ สว่างไปหมดทั้งกุฎิเลย เดินมองหน้ามองหลัง มองข้างหน้า มองข้างหลัง มองข้างซ้าย ข้างขวา สว่างไปหมด ก็นึกว่าหลวงปู่ท่านเคยเขียนหนังสือไว้ว่า สว่างที่กลางใจ แต่ของอาตมานี้ทำไมสว่างไปหมดทั้งห้อง มองเห็นเป็นธรรมะไปหมด พอสักพักหนึ่งก็หายไป
พอเช้าหลวงปู่ท่านก็มาสอบอารมณ์อีก อาตมาก็กราบเรียนท่าน ท่านก็จูงไปเข้าห้องว่างห้องหนึ่ง แล้วท่านก็ปิด ท่านเข้าไป ท่านให้อาตมาเข้าไป แล้วท่านก็ปิดประตู ท่านจูงอาตมาเดินไปรอบ ๆ ห้อง เสร็จแล้วท่านก็ออกมาเปิดประตู แล้วท่านก็ออกไป แล้วท่านก็ให้อาตมาออก
ท่านบอกว่าข้างนอกนี้มันกว้างขวางมากนักรู้ไหม
อาตมาก็บอกว่า รู้ครับ เพราะว่าหลวงปู่เคยสอนว่า การปฏิบัติธรรมนี้ ไม่ให้เอาจิตใจออกนอกกาย ถ้าออกไปก็ดึงเข้ามาอยู่กับการเคลื่อนไหวของกายและใจ เวลามันออกไปทีไร ก็ให้ดึงเข้ามาทุกครั้ง แล้วก็อย่าให้เข้าไปอยู่ในความคิด เมื่อมันคิดปุ๊บขึ้นมา ให้มีสติรู้ ดึงเข้ามาอยู่ที่การเคลื่อนไหว ของกาย และใจ เมื่อมันคิดดีหรือไม่ดีก็ให้มีสติรู้ ดึงให้เข้ามาอยู่ในการเคลื่อนไหว แล้วท่านก็บอกว่าให้รีบปฏิบัติเข้า
อาตมาก็ปฏิบัติไป ปฏิบัติไป ก็รู้มาว่า คนเรานี้เกิดทุกข์เพราะความคิด
ถ้าเราไม่ให้มันคิดได้ไหม
ไม่ได้ ห้ามความคิด ห้ามไม่ได้ มีทางเดียวคือ เราไม่รับฟัง ถึงแม้คิดดี เรามีสติรู้ เราก็สลัดทิ้งไป คิดไม่ดี เรามีสติรู้ เราก็สลัดทิ้งไป มันคิดมาดี คิดมาไม่ดี มีสติรู้ สลัดทิ้งไป ทำให้จิตใจเรานี้สงบ ทำให้จิตใจสะอาด ทำให้จิตใจเราสบาย ทำให้จิตใจเราบริสุทธิ์ ทำให้จิตใจเป็นปกติ ทำให้จิตใจผ่องใส ทำให้จิตใจว่องไว สามารถที่จะรู้อะไรทุกหนทุกแห่ง ทุกแง่ทุกมุม อันนี้เป็นจิตใจของพระพุทธเจ้า เหมือนดังที่หลวงปู่ท่านกล่าวย้ำอยู่เสมอว่า พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สัตว์ทั้งหลายคล้ายเราตถาคต สัตว์ทั้งหลายเหมือนเราตถาคต สัตว์ทั้งหลายเป็นตถาคต ที่นั้นพระตถาคตไปถึงแล้ว ที่ ๆ ไม่มีทุกข์ จึงได้นำเอามาสอนให้พวกพระคุณท่าน ให้พวกท่านทั้งหลาย จงรีบประพฤติปฏิบัติให้รู้ให้เห็นให้เป็นให้มี เหมือนอย่างเราตถาคตนี้