พระอาจารย์ดา สมฺมาคโต

พระอาจารย์ดา สมฺมาคโต
วัดโมกขวนาราม อำเภอเมือง จังหวัดขอนแก่น
ทางที่เป็นทาง
คำว่า ทาง” ในที่นี้มิใช่ทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ หรือทางเดินด้วยเท้า แต่มันเป็นทางเดินของจิตใจ จากที่มีความทุกข์ไปสู่ความไม่ทุกข์ จากความมีปัญหาไปสู่ความสิ้นปัญหา จากความมืดมนสับสนวุ่นวาย ไปสู่ความสว่างสงบเย็น พระพุทธเจ้าเป็นแต่เพียงผู้ชี้ทางเท่านั้น อกฺขาตาโร ตถา คตา ส่วนการเดินทางหรือจะไม่เดินนั้น มันเป็นเรื่องของแต่ละบุคคลที่จะเลือกทางเดินของตัวเอง การจะทำความดี ความชั่ว พูดดีพูดชั่วและคิดดีคิดชั่วนั้น มันเป็นเรื่องเฉพาะตน ผู้ปฏิบัติตามคำสั่งสอนที่พระพุทธองค์ทรงแนะนำไว้อย่างถูกต้องนั้น ย่อมเป็นผู้มีความสว่าง และเจริญก้าวหน้าในชีวิตการงาน ทั้งจะเป็นผู้ที่ไม่สร้างปัญหาแก่สังคม ตรงข้ามผู้ที่ไม่สนใจต่อคำสอนของพระองค์ย่อมประสบแต่ความทุกข์ ตกอยู่ในความมืดมนหลงผิด ไม่รู้ทิศทางแห่งชีวิตที่จะเดินไป ไม่ว่าอะไรเป็นอะไร จึงหลงผิดเบียดเบียนตนเองและผู้อื่นด้วยความประพฤติชั่ว ทางกาย ทางวาจา และทางจิตใจ เพราะอำนาจแห่งความโกรธ ความโลภและความหลง
การบำเพ็ญทุกรกิริยาที่มีในพระพุทธประวัติหรือมีมาก่อนพุทธกาลทั้งหลายเหล่านั้น มีฌานสมาบัติ 7-8 เป็นที่ลือลั่นกันว่าเป็นคุณวิเศษสูงสุดในสมัยนั้น พระพุทธองค์ทรงเห็นว่ามิใช่ทางออกไปจากความทุกข์ทั้งปวงได้โดยเด็ดขาด เป็นแต่เพียงสงบหรือสยบอยู่ชั่วคราวเท่านั้นเหมือนหินทับหญ้า พระองค์จึงละทิ้งสิ่งเหล่านั้น แล้วแสวงหาทางออกโดยการบำเพ็ญเพียรทางใจ มีสติเฝ้าดูอาการของจิตใจที่เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง และดับไปตลอดเวลาอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้พระองค์รู้แจ้งสัจธรรม ได้คำตอบทุกอย่าง เป็นพระพุทธเจ้าโดยสมบูรณ์ แล้วพระองค์จึงรู้ผิดรู้ถูก รวมความว่า การแสวงหาทางออกของพระองค์นานถึง 6 ปี โดยวิธีการต่าง ๆ เท่าที่มีในยุคนั้นทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เป็นทางหลง ทางผิด ทางปิด ทางตัน เป็นทางที่มิใช่ทางนั่นเอง
การมีสติเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของกายและใจอย่างต่อเนื่องตามแนวสติปัฏฐาน 4 คือเน้นที่ อิริยาบถบรรพ, สัมปชัญญบรรพ, หรือกายคตาสตินั้น เป็นลู่ทางที่จะได้สัมผัสอารมณ์พื้นฐานเบื้องต้นของวิปัสสนากรรมฐาน คือ รู้รูปนาม - รูปทำนามทำ - รูปโรคนามโรค - อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา - สมมติ - ศาสนา - พุทธศาสนา - บาปบุญ...นี้เป็นอารมณ์ปฐมฤกษ์ของผู้ปฏิบัติธรรม ความรู้ประสบการณ์พวกนี้จะเป็นการเปิดทางสายด่วนแห่งธรรมะ พร้อมทั้งมีลูกศรชี้นำไปสู่จุดหมายปลายทาง คือที่สุดแห่งที่สุด หรือที่สุดของทุกข์ อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของชีวิตที่จะต้องไปให้ถึง เมื่อไปถึงแล้วจะได้คำตอบทุกอย่าง
เมื่อรู้เห็นความจริง ตามสภาพความเป็นจริงแล้ว จิตใจจะเริ่มเปลี่ยนสภาวะเป็นคนละคนด้วยพลังแห่งปรมัตถสัจจะ พฤติกรรมเดิม ๆ นิสัยที่ไม่ดีจะถูกปฏิวัติ พร้อมกันนั้นความจริงแท้แห่งชีวิตก็จะถูกเปิดอย่างสิ้นเชิง จะหายสงสัยเรื่องผีสางเทวดา ฤกษ์ยาม นรกสวรรค์ เป็นต้น
การได้ชีวิตใหม่ก็เริ่มต้นที่จุด ๆ นั้นนั่นเอง ความรู้สึกตัวเพียงน้อยนิดนี้เท่านั้น ที่จะเป็นยานพาหนะ นำพาชีวิตไปให้ถึงที่สุดแห่งความทุกข์ทั้งปวงได้ เมื่อชีวิตไปถึงที่สุดแห่งที่สุดแล้ว ประหนึ่งว่าได้อยู่ในโลกใหม่ เป็นโลกแห่งอิสรภาพทางปัญญา และเป็นสภาพที่ปลอดทุกข์ทางจิตวิญญาณ เป็นแดนเกษมศานต์
ชีวิตที่ได้สัมผัสความจริงสูงสุดในทางพระพุทธศาสนาแล้ว จะมีความเป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างเรียบง่าย เบาสบาย หายกังวล พ้นสงสัย ไม่มีพิษภัย รับประกันได้ว่า ผู้ที่ได้อารมณ์ปรมัตถ์แล้ว จะไม่หลงทางแน่นอน เรื่องผีสางเทวดา ฤกษ์งามยามดี สิ่งศักดิ์สิทธิ์ นรก สวรรค์ ตาย เกิด เหล่านี้เป็นต้น เขาจะไม่ข้องแวะเลย เพราะเหตุว่าผู้ปฏิบัติธรรมเจริญสติแนวนี้ มีรหัสอยู่ว่าจะต้องรู้อารมณ์ สัมผัสอารมณ์ได้ทุกเวลา ทบทวนอารมณ์ได้ จะกำหนดรู้ ดูอะไรที่ไหน เมื่อไรก็รู้ได้เดี๋ยวนั้นทันที ทำนองว่า ของจริงหนีคนจริงไปไม่พ้นและคนจริงย่อมไม่ทิ้งของจริงเช่นกัน
เคล็ดลับแห่งความเปลี่ยนสภาพทางใจ
ให้เอาความรู้สึกตัวนิด ๆ หน่อย ๆ นั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้น พอจิตมันคิดปุ๊บ รู้ คิดปุ๊บ รู้ เอาเพียงรู้เฉย ๆ รู้แล้วให้มันผ่านไป ไม่ต้องดึงมันกลับมา และไม่ต้องให้มันดึงเราไป สติจะเป็นตัวทำหน้าที่ดูเอง เมื่อสติจับตาดูเองอย่างถี่ถ้วนแล้ว ตัวรู้กับสิ่งที่ปรากฏให้รู้นั้นเป็นคนละสิ่งกัน จะไม่หลงไปกับความคิด จะมีแต่ความรู้สึกล้วน ๆ เป็นปัจจุบัน ขณะไม่มีความโกรธ โลภ หลง ในความรู้สึกนั้น ๆ มันจะรู้ออกมาจากจิตใจในส่วนลึกโดยอัตโนมัติว่า ความเปลี่ยนแปลงทางจิตใจได้ปรากฏชัดแก่เราแล้ว แล้วในที่สุดแห่งที่สุดสติ ตัวน้อย ๆ นั่นแหละมันจะเป็น พลังแฝง อยู่ในทุก ๆ อิริยาบถ
เราท่านทั้งหลาย ได้รู้จักหลวงพ่อเทียน จากการพบปะสนทนากับท่านบ้าง จากการอ่านหนังสือของท่านบ้าง จากการบอกเล่าบ้าง และจากการปฏิบัติบ้าง แต่อาตมารู้จักท่าน ในฐานะที่ท่านเป็นผู้ให้กำเนิดชีวิตใหม่
หลักการดำเนินชีวิตอย่างเรียบง่าย เบาสบายไร้กังวลนั้น อาตมาได้รับถ่ายทอด จากประสบการณ์ ที่ได้ติดสอยห้อยตามหลวงพ่ออย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง เป็นเวลายาวนาน เคยจำพรรษาร่วมกับท่าน 6 พรรษา เมื่อก่อนคิดว่าจะติดตามท่าน อยู่กับท่านเรื่อย ๆ ไป
การได้ชีวิตใหม่นั้น เหมือนกับการชุบชีวิตใหม่ หรือจะว่า ตายแล้วเกิดใหม่ ก็คงจะไม่ผิด การตายก่อนตาย การเกิดใหม่ การเกิดทางธรรมของอาตมาบัดนี้ย่างเข้า 15 ปีแล้ว ปัจจุบันชีวิตกำลังเป็นวัยรุ่นทางธรรม อยู่ไม่ค่อยติดที่ ไม่ค่อยติดวัด คิดว่าประสบการณ์ชีวิตมีน้อยนิดเดียวยังไม่พอตัว ส่วนการปฏิบัตินั้นพออยู่พอกิน ไม่ทุกข์ไม่จนแล้ว
ขอย้อนหลังนิดหนึ่งว่า เมื่อก่อนจะมาหาหลวงพ่อเทียนนั้น อาตมาคิดว่าขออุทิศตนเพื่อท่าน ท่านจะแนะนำอะไร ก็จะตั้งใจทำตัวให้ได้ตามบทเรียน หรือบททดสอบนั้น ๆ เพราะมีความมุ่งหวังตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่า จะต้องพิสูจน์ตัวเองตามหลักการของท่าน และยังคิดมั่นใจว่า จะต้องเป็นทางออกทางสุดท้ายที่เราเลือกแล้ว
ในเมื่อความตั้งใจจริงเป็นดังนี้แล้ว เรื่องทิฐิมานะ หรือความคิดที่จะขัดแย้ง เปรียบเทียบระหว่างอดีตกับปัจจุบันมันจึงถูกลบไปโดยปริยาย ไม่มีข้อกังขา ไม่มีปัญหาใด ๆ เลย เมื่อลงมือตั้งใจปฏิบัติอย่างต่อเนื่องครบวงจร โดยทำความรู้สึกตัวในขณะยืนเดิน นั่ง นอน คู้ เหยียด เคลื่อนไหว กระพริบตา หายใจเข้าออก กลืนน้ำลาย เอียงซ้ายเอียงขวา ก้มเงย กิน ดื่ม เข้าห้องน้ำ นุ่งห่ม เป็นเวลา 3 วัน รู้จักตัว ตื่นตัวเต็มที่ มีสติเป็นปัจจุบันล้วน ไม่มีอดีตอนาคต รูปนามก็ปรากฏตัวให้เห็นชัดอย่างสิ้นสงสัย เห็นรูปเป็นรูป เห็นนามเป็นนาม เห็นแล้วหายสงสัยไม่ข้องแวะ เรื่องความรู้ส่วนตัวเอาไว้ก่อน แล้วจะว่าถึงหลักการที่เป็นเทคนิคโดยตรง
เรื่องการเก็บอารมณ์เก็บตัวอยู่คนเดียว เข้าห้องกรรมฐาน เป็นโอกาสทอง โอกาสธรรม สำหรับผู้ที่กำลังแสวงหาทางออกให้กับตัวเองและเป็นการให้โอกาสแก่ท่านที่ใฝ่ใจในทางนี้โดยตรง เป็นคนจริง ตั้งใจจริงปฏิบัติจริง เพื่อพิสูจน์การปฏิบัติทางนี้จริง ๆ จะกำหนดเป็นเวลาสั้นยาวเท่าไร 7 วัน 15 วัน 3 เดือน 1 ปี และ 3 ปี ให้ผู้ที่จะสมัครใจเลือกเอาตามความเหมาะสมกับภาวะของตน ๆ แล้วให้เข้าเก็บตัวเงียบอยู่คนเดียวภายในกุฏิ หรือจะเป็นที่ที่พออาศัยเก็บตัวปฏิบัติได้ก็ดี โดยมีพระพี่เลี้ยงหรือพระอาจารย์สาธิตแนะแนวการเจริญสติให้ เป็นที่ปรึกษา เป็นกัลยาณมิตร เพื่อให้ผู้เข้าอยู่ภายในนั้นได้ตั้งใจทำจริง ๆ โดยไม่ต้องไปทำกิจอย่างอื่น ให้ทำจิตทำใจ ให้เฝ้าดูตัวเอง ให้อยู่กับตัวเอง ให้ตั้งสติเฝ้าดูการเคลื่อนไหวของกายและใจตลอดเวลาเพียงอย่างเดียว ไม่อ่านหนังสือ ไม่รับและเขียนจดหมาย ตัดขาดจากโลกภายนอกชั่วคราว ในขณะเก็บตัวเท่านั้น อาหารจะมีผู้นำส่งทุก ๆ วัน จะเป็นวันละครั้งหรือสองครั้งก็แล้วแต่จะตกลงกันกับพี่เลี้ยงอาจารย์ผู้เป็นกัลยาณมิตร จะคอยสอดส่องดูแลสารทุกข์สุกดิบ ให้คำแนะนำตักเตือน เป็นที่ปรึกษา แก้ไขปัญหาที่ขัดข้อง และอื่น ๆ ให้ เมื่อได้ปฏิบัติแล้วผลที่เกิดขึ้นจะประจักษ์แก่ผู้ปฏิบัติเอง