พ่อหนอม

พ่อสอนลูก
พ่อหนอม
พ่อหนอม” หรือนายสิงห์ พิมพ์สอน พี่เขยของหลวงพ่อ เป็นผู้หนึ่งที่ได้เข้าร่วมปฏิบัติในการเปิดอบรมปฏิบัติธรรมรุ่นแรก ณ บ้านบุฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลย ซึ่งในขณะนั้นหลวงพ่อยังดำรงเพศฆราวาสอยู่ และนับแต่นั้นมา พ่อหนอม” ก็ได้ใช้ชีวิตฆราวาสปฏิบัติธรรมอย่างต่อเนื่องจริงจังมาโดยตลอด จนหมดสิ้นความสงสัยในเรื่องของชีวิตและธรรมะของพระพุทธเจ้า อีกทั้งยังได้แนะนำสั่งสอนบุตรภรรยา ตลอดจนผู้สนใจในหมู่บ้าน ให้ปฏิบัติตามจนเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านโดยทั่วไป จวบจนกระทั่งท่านได้ถึงแก่กรรมลงเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2527
พ่อสอนลูก อันเป็นคำสั่งสอนลูก ๆ ของท่านนี้ เป็นบทความที่คัดมาจากหนังสือที่ระลึกในงานศพของท่าน ได้เคยลงพิมพ์ในภาคผนวกของหนังสือต่ออายุมาแล้ว ผู้จัดพิมพ์เห็นสมควรนำลงพิมพ์ในหนังสือเล่มนี้อีกครั้งหนึ่ง เพื่อเป็นประจักษ์พยานถึงความสำเร็จในทางธรรมของศิษย์ผู้หนึ่งของหลวงพ่อ แม้ว่าท่านผู้เป็นเจ้าของธรรมะ หรือคำสั่งสอนนี้จะได้ละโลกนี้ไปแล้วก็ตาม
วันนี้พ่อมีโอกาสดีมาพูดกับลูก สุขภาพทุกวันนี้ของพ่อเป็นอย่างนี้ ทรุดลงทุกวันพ่อสังเกตอยู่ วันนี้เป็นวันอะไร พ่อไม่รู้ แต่วันไหน ๆ พ่อก็เป็นอย่างนี้ โลกไม่เห็นพ่อ แต่พ่อเห็นพ่อ ความเป็นอยู่ภายในของพ่อเป็นอยู่อย่างนี้ กำลังพูดอยู่ก็เป็นอย่างนี้ ความหนักอกหนักใจของพ่อไม่มี พ่ออยู่ในสภาพที่สมควรก็ว่าได้ ไม่กังวล เรื่องเกิดเรื่องตายพ่อไม่กังวลแล้ว มันจะเป็นเมื่อใดพ่อก็ไม่วิตก สภาพของมันเป็นอย่างนี้แหละ พ่อเห็นว่าเป็นกฎของอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นอย่างนี้ดับไม่ได้ แม้พระพุทธองค์เองก็ดับไม่ได้ สภาวะทุกข์อันนี้เป็นอย่างนี้ โรคทางกายดับไม่ได้ เยสัง ปะริญญายะ เพื่อให้สาวกกำหนดรอบรู้อุปาทานขันธ์ เหล่านี้เองทุกข์ทางใจจึงจะดับได้ ทุกข์ด้วยความยึดมั่นถือมั่นในรูปเสียงกลิ่น รส พระพุทธเจ้าท่านดับได้ พ่อก็เป็นอย่างนั้น
ที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้มันเป็นความจริง พ่อมีโอกาสจึงมาพูดให้ลูกฟัง ถ้าพ่อตายไปแล้ว จะได้ไม่พูดว่า พ่อไม่ได้สั่งไม่ได้สอนไว้ เดี๋ยวนี้ลูกพ่อมีสี่คน อีแกม พ่อบักด่วน เทื้อม บักช่วง พ่อถือว่าเป็นลูกพ่อทุกคน ความเป็นอยู่ของพ่อมันเป็นอย่างนี้แหละ ลูกก็เห็นอยู่ พ่อไม่มีความเดือดร้อนเรื่องอื่น ลำบากแย่หน่อยหนึ่ง คือสุขภาพของพ่อมันทรุดลงทุกวัน พ่อยังไปได้มาได้อยู่ แต่ก็ทรุดลงทุกที ๆ มันจะแบมือออกมาเมื่อใดก็ยังไม่รู้ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นด้วยกันทุกคน คนเกิดก่อนพ่อ ตายไปแล้วก็มี เกิดพร้อมพ่อ ตายไปแล้วก็มี ลูกของพ่อตายไปแล้วก็มี ชีวิตของเราเป็นของไม่แน่นอน ความตายเป็นของแน่นอน เปลี่ยนไม่ได้ต้องตายทุกคน ต่างกันแต่ว่าช้าหรือเร็วเท่านั้น
ลูกอยู่กับพ่อกับแม่ การทำมาหากินหาเงินหาทอง มีความคิดปัญญาเฉลียวฉลาด พ่อเห็นว่าพอสมควร ไม่ดีกว่าคนอื่น แต่ก็ไม่ด้อยกว่าคนอื่น เรื่องการเงินการทองทุกสิ่งทุกอย่าง เมื่อได้มาให้รู้จักเก็บหอมรอมริบ ใช้ในสิ่งที่ควรใช้” ได้เงินมาแล้วไม่ใช้ไม่มีหรอก ต้องใช้ทุกคน แต่ให้รู้จักใช้ ฐานะความเป็นอยู่ขณะนี้ พ่อก็ว่าพอสมควร แต่ความเป็นอยู่ของลูก พ่ออยากให้ลูกขยับขยายให้มันดีกว่านี้ พ่ออยากให้จิตใจสูงกว่านี้อีกสักหน่อย จะเกลียดจะชังก็ตาม พ่อมีหน้าที่ต้องพูดกับลูกล้าพ่อไม่พูดคนอื่นก็ไม่กล้าพูดกับลูก การเล่นการพนัน ลูกว่าดีไหม พูดให้พ่อฟังซิ
ลูก...ไม่ดีครับ
พ่อ... ถ้าไม่ดี เล่นทำไม เล่นความชั่ว
ลูก... เล่นสนุก ๆ เท่านั้น ให้มันสบายใจ
พ่อ... มันไม่ใช่ของสบาย ที่ลูกเถียงไม่ใช่เถียงพ่อ ลูกเถียงพระพุทธเจ้า คำสอนของพระพุทธเจ้าท่านบอกให้เลิกอบายมุข การเล่นการพนันทุกสิ่งทุกอย่าง ท่านว่าเป็น อบายมุข ท่านว่าไม่ดี ผิดกฎหมายด้วย ลูกทำอย่างนี้ ลูกเป็นคนสุจริตหรือทุจริต พูดให้ฟังซิ
ลูก... เล่นสนุก ๆ เท่านั้น
พ่อ... ลูกทำความชั่วแล้วรู้ไหมว่ามันชั่ว
ลูก... รู้ว่าชั่วว่าดีอยู่ครับ
พ่อ... การกินก็ตาม การนอนก็ตาม การเสพกามก็ตาม พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า คนกับสัตว์เหมือนกัน คนกับสัตว์ต่างกัน ตรงที่เข้าใจธรรมะ มีข้าวกิน มีที่อยู่ มีเงินใช้ จะเป็นเงินหมื่นเงินแสนก็ตาม สภาพก็ยังไม่ต่างไปจากสัตว์เดรัจฉานเลย ถ้าหากไม่รู้จักความชั่ว ความดี สัตว์เดรัจฉานก็หากินเป็น นอนเป็น เสพกามเป็น เราต้องแยกชั่วกับดีออกจากกันได้ ถ้ารู้จักว่าชั่วแล้วให้แยกความชั่วกับความดี อย่าให้ปะปนกัน พระพุทธเจ้าท่านสอนไว้อย่างนั้น
พ่อนำคำสอนของพระพุทธเจ้ามาพูด พ่อคิดว่ามันเป็นอย่างนั้นจริง ผู้ใดรู้จักแล้วสบาย มันเป็นทรัพย์อย่างหนึ่ง เป็นทรัพย์ภายใน คนที่ไม่รู้จักอย่างนี้ ก็ไม่มีศีลไม่มีธรรม” มีเงินล้านเงินแสน เป็นนายพลนายพัน ก็ยังฆ่าตัวตาย เพราะอะไร ก็เพราะขาดธรรมะ คนจะเป็นอะไรก็เป็นเพราะธรรม คนจะดีก็เพราะธรรม คนจะชั่วก็เพราะธรรม คนจะเป็นเทวดาก็เพราะธรรม จะไปตกนรกก็เพราะธรรม เป็นพระพุทธเจ้าก็เพราะธรรม พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ตรัสรู้แล้วเคารพธรรมทั้งนั้น มีแต่เปรตแต่มารเท่านั้นที่ไม่เคารพธรรม ไม่รู้จักความดีความชั่ว ทำดีก็ไม่รู้จัก ทำชั่วก็ไม่รู้จัก ทำไปตามอำเภอใจ ทำไปตามอำนาจ การผลักดันของกิเลส ทำไปโดยไม่มีสติ ไม่มีสมาธิ ไม่มีปัญญา ไม่เห็นจิตใจตัวเองว่าทำอย่างนั้นมันผิด ทำอย่างนี้มันถูก
ต้องรู้ธรรมจึงเป็นพ่อคนแม่คนได้ สี่คนนี้ก็เป็นลูกพ่อให้มันรู้จักสักหน่อย ถ้าไม่รู้จักดี จะดีได้อย่างไร ทำบุญก็ไม่รู้จักบุญ บุญเป็นความดีถ้าชั่วไม่ใช่บุญ ถ้ารู้จักเพียงแต่เอาข้าวไปให้พระไปจังหันเพล กราบเป็นไหว้เป็น ยังไม่ใช่ศาสนา เป็นเพียงศีลธรรม ศีลธรรมกับศาสนาไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ทำบุญให้ทานเป็นหมื่นเป็นแสนก็ตาม ถ้าไม่รู้จักจิตจักใจยังไม่ใช่ศาสนา เป็นเพียงศีลธรรมเท่านั้น ทำไปแล้วจิตใจก็ยังเหมือนเดิม ท่านว่าทำบุญมีสามแบบ ทำบุญด้วยน้ำโคลน ทำบุญด้วยน้ำหอม ทำบุญด้วยน้ำสะอาด ทำบุญคือการอาบน้ำหมายถึงล้างบาป ล้างความชั่วในจิตในใจออกไป ทางกาย ทางวาจาออกไป
ทำบุญให้รู้จักบุญ ถ้าทำบุญไม่รู้จักบุญ ทำไปก็ไม่ได้บุญ บุญคืออะไรก็ไม่รู้ บาปคืออะไรก็ไม่รู้ ทำบาปอยู่ก็ไม่รู้จักบาป ก็เรียกว่าเป็นคนซึ่งไม่ต่างจากสัตว์ ไม่ใช่มนุษย์ มนุษย์ต้องมีศีลห้า รู้จักหิริโอตตัปปะ เกรงกลัวต่อบาป มีมนุษย์ขึ้นเมื่อใดต้องมีศีลห้าขึ้นเมื่อนั้น ถ้าเป็นคนยังไม่มีศีลห้า อยากพูดก็พูดได้ อยากฆ่าก็ว่าได้ อยากฆ่าก็ด่าได้ พูดอะไรได้ทั้งหมด ถ้ามีศีลห้าแล้วระวัง พูดก็ระวัง กายกรรมทุกสิ่งทุกอย่างก็ระวัง ศีลห้าระวัง กายวาจา ถ้าไม่เป็นมนุษย์แล้วไม่รู้จัก ถ้าเรามีพอกินพอใช้อยู่แล้ว เอามาเลี้ยงผู้เฒ่าผู้แก่ เลี้ยงพระเลี้ยงสงฆ์ เลี้ยงผู้ประพฤติดีปฏิบัติชอบ จะได้สอนผู้ทำบุญให้ทานนั้นให้ฉลาดขึ้นไปได้ รู้สึกว่าอันนี้ดี อันนี้ชั่ว อันนั้นบุญ อันนั้นบาป อันนี้สุข อันนี้ทุกข์ อันนี้เป็นนรกอันนี้เป็นสวรรค์ อันนี้เป็นเปรต อันนี้เป็นอสุรกาย อันนี้เป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าไม่รู้สึกอย่างนี้จะเป็นมนุษย์ได้อย่างไร เป็นได้แต่เพียงคน คนเหมือนสัตว์ไม่ได้หมายถึงรูปร่างหมายถึงจิตใจ
คนด้วยกันรูปร่างดูไม่ออก แต่จิตใจดูออก พูดออกมาก็รู้จักได้เป็นผีก็รู้ พ่อเคยได้ยินลูกก็เคยได้ยิน ถ้าพูดออกมามีแต่ผีแต่ห่าก็เพราะผีมันอยู่ข้างใน ไม่มีศีล ไม่มีพระ ถ้ามีศีล ต้องมีพระ ถ้ามีพระต้องมีศีลประจำใจ ศีลมีทางกายทางวาจา ปากไม่มีศีลก็พูดไปได้ทุกอย่าง อยากด่าก็ด่า อยากว่าก็ว่า ถ้าไม่มีศีลทางกายก็ทำได้ทุกอย่าง จะฆ่าก็ได้ จะลักจะขโมยก็ได้ แต่เรื่องอย่างนี้ลูกคงจะไม่ทำ เรื่องลักเรื่องขโมย เรื่องฆ่ารันฟันแทงที่พ่อเคยเห็นมาแล้ว รู้จักมาแล้วไม่ดี พ่อมองความหลังของพ่อเมื่อพ่อยังไม่รู้จักธรรมะ พ่อก็เคยทำความไม่ดี ความไม่ดีพ่อจำไว้ พ่อไม่อยากให้ลูกทำอย่างนั้นอีก พ่ออยากให้ลูกเขยิบจิตใจให้มันดีขึ้นกว่าเก่า ให้มีศีลให้มีธรรม ทำบุญก็ให้รู้จักบุญ ทำทานก็ให้รู้จักทาน การทำบุญอย่าทำบาป เอาไพ่มาเล่น เอาเหล้ามากิน มีมหรสพคบงัน บางคนก็ว่าเป็นบุญ ก็ถูกอยู่ ถูกอย่างคนไม่เข้าใจธรรมะ ไม่เข้าใจศาสนา เป็นบุญของเปรตของมาร
พระพุทธเจ้าท่านว่านั่นไม่ใช่บุญ ท่านเรียกว่าอบาย ในศีลอุโบสถก็กล่าวไว้ว่า การฟ้อนรำ การขับเพลง การดนตรี การดูการเล่นชนิดเป็นข้าศึกต่อกุศล การทัดทรงสวมใส่ การประดับ การตกแต่งด้วยมาลา เครื่องกลิ่นและเครื่องผัดทาทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่บุญ เป็นบาปให้ละเว้น และในหนังสือตามรอยพระอรหันต์ก็มีกล่าวไว้ว่า คนร้องเพลงคือคนร้องไห้ คนฟ้อนคือคนบ้า คนที่คอยไปหัวเราะ ท่านเรียกว่า เด็กน้อย ท่านไม่ถือว่าเป็นของดี แต่ก็ไม่ได้ห้าม พูดให้ฟังเฉย ๆ ใครจะเอาไปปฏิบัติก็ได้ ไม่เอาก็แล้วไป คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าของศาสนาพุทธเป็นประชาธิปไตย ใครจะปฏิบัติก็ได้ ไม่ปฏิบัติก็ได้ ใครจะไปตกนรกอเวจีก็ตามใจ พระพุทธเจ้ามีพระมหากรุณาดุจห้วงมหรรณพ ท่านห่วงโลก ตรัสรู้แล้วจึงเอามาสอนสัตว์ในโลกนี้ที่ยังงมงายอยู่ มืดมนอยู่ด้วยความทุกข์ที่ยังเห็นชั่วว่าดี เห็นดีว่าชั่ว ไหว้ผี ไหว้เทวดา ไหว้จอมปลวก ไหว้ต้นไม้ ไหว้ภูเขา ความงมงายนี้แหละ ที่ท่านห่วง ไม่รู้จักว่าศีลธรรมเป็นอย่างไร ศาสนาเป็นอย่างไร
ศีลธรรมกับศาสนาไม่ใช่สิ่งเดียวก้น การกินการทานเป็นลักษณะศีลธรรม การสร้างวัดสร้างศาลา ช่วยเหลือเจือจานทุกสิ่งทุกอย่าง ดีเป็นศีลธรรม ไม่ใช่ศาสนา ศาสนาต้องรู้จักตัว เราเป็นผู้มีสติ มีสมาธิ มีปัญญา พิจารณาเหตุผล เห็นจิตใจหันจะพลิกแพลงไปทางใดให้รู้ คำพูดคำจาของคน จะพูดดีพูดชั่วเราฟังได้ แต่ไม่ได้ยึดมั่นถือมั่น เพราะสติปัญญาเรามีรอบคอบแล้ว เขาว่าดี ก็ไม่ใช่เราจะไปดีตามเขาพูด เขาใส่ร้ายป้ายสี ก็ไม่ได้ชั่วตามเขาว่า เป็นเพียงคำพูดเป็นรูปอารมณ์ เป็นอากาศสั่นสะเทือนมาเท่านั้น เป็นคำสมมติเท่านั้น เขาด่ามา ก็ไม่ใช่เขาด่าเรา เขาว่าไปตามปากเขาเท่านั้น คล้าย ๆ กับเขาขว้างกระดูก ขว้างก้างมาเฉย ๆ ถ้าเราไปยึดไปเก็บอันนั้นไว้เราก็คล้าย ๆ กับหมา ไปกินกระดูกที่เขาทิ้งมา หมามันชอบกินกระดูก
พ่อถูกคนเขานินทามาตั้งยี่สิบกว่าปีแล้วนี่นะ พ่อก็อยู่อย่างนี้ พ่อไม่ไปโกรธไปหลงผู้ใด เขาจะว่าเป็นคอมมิวนิสต์ก็ว่าไป มีคนเคยไปตาม เอาเจ้าเอานายไปตามถึงวัดถึงวา มีพระเจ้าพระสงฆ์นำหน้าขึ้นไป มีคณะกรรมการ มีตำรวจขึ้นไปพร้อม พ่อก็ไม่ได้ตกอกตกใจอะไร เพราะความจริงในใจของพ่อมี เป็นอะไรก็เป็นกัน เจ้านายเอาพ่อไปสัมภาษณ์ พ่อก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นนายร้อย เขาถามว่า การปฏิบัติธรรมนี้ ตาปฏิบัติมาอย่างไร ฝึกมาจากอาจารย์ใด กรรมฐานทำวิธีใด” พ่อก็เล่าให้เขาฟังจนตลอดที่พ่อเคยทำมา ทำอย่างนั้นเป็นสมถะ ทำอย่างนั้นเป็นวิปัสสนา เพ่งกสิณเป็นอย่างนั้น กรรมเป็นอย่างนั้น ฐานเป็นอย่างไร พ่อเล่าให้ฟังหมดทุกอัน เขาเรียกไปสัมภาษณ์ในห้องลับ ๆ เป็นเวลานาน ซึ่งพ่อก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นเจ้าเป็นนาย ครั้นออกมากลางที่ประชุม เขาก็บอกว่าเขาเป็นอันติบาลเป็นนายร้อย เขายกมือไหว้แล้วว่า“ โอ ! ผมเข้าใจ ผมได้ฟังนักปราชญ์พูด” ซึ่งเขาจะพูดจริงหรือแกล้งพูด พ่อก็ไม่รู้ แต่พ่อก็ไม่ได้ไปดีใจกับคำพูดของเขา เขาว่า ลูกขอบใจพ่อ ถ้ามีเวลาว่างผมจะมาหาพ่ออีก ผมก็เคยได้อ่านหนังสือธรรมะบ้างเล็กน้อย แต่ผมมาเข้าใจดีกับพ่อ” ตอนที่พ่อพูด พ่อคิดว่าจะไม่พูดให้ผิดไปจากหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า และผิดไปจากที่เราได้ประพฤติปฏิบัติมา ตำราเป็นเพียงบันทึกไว้กันลืมเท่านั้น ส่วนการปฏิบัติไม่ใช่ตำรา แต่เอาตำรานั้นมาพิจารณาใคร่ครวญ การประพฤติปฏิบัติอยู่ที่ตัวคนที่ทำตาม สิ่งใดเหตุมีผลก็ทำตาม
พ่อ... ลูก ! พ่อไม่ใช่จะให้ไปเข้าวัดเข้าวาหรอก แต่ที่ลูกซื้อหนังสือพิมพ์มาอ่าน ฉบับละหกสลึงใช่ไหม ?
ลูก... สามบาทแล้วครับ
พ่อ... ฉบับละสามบาท อ่านวันนี้ทิ้งวันนี้ อ่านวันไหนทิ้งวันนั้น สามบาทหมดไปกี่บาทแล้วเท่าที่ซื้อมา
ลูก... ซื้อทุกวันล่ะครับ
พ่อ... แน่ะ ! ถ้าซื้อหนังสือธรรมะมาอ่านอย่างนี้ จิตใจคงจะเบิกบานและสูงขึ้นมา เรื่องนี้เป็นทรัพย์ภายในของเรา เป็นอริยทรัพย์ อริแปลว่าข้าศึก หรือความชั่ว ยะ แปลว่าไกล อริยะแปลว่าไกลจากข้าศึก ไกลจากความชั่ว ถ้าเข้าใจมากก็ไกลความชั่วไปมาก เข้าใจน้อยก็ไกลน้อย เข้าใจดีทั้งหมดก็ไกลจากความชั่วทั้งหมด พ่ออยากให้ลูกลองทำดู กลับตนกลับตัว อ่านหนังสือธรรมะดู ไม่อ่านมากก็อ่านบ้าง วันนี้อ่าน วันหน้าอ่านอีก ซื้อเอาไว้อ่าน มีพรรคมีพวกมา เขาก็จะได้อ่าน ได้เข้าใจ สิ่งอื่นที่ไม่จำเป็นยังทำกันได้ ธรรมะเป็นสิ่งจำเป็นแก่ชีวิตจริง ๆ
ชีวิตกับธรรมะเป็นอันเดียวกัน ทำอะไรบ้างที่ไม่ใช่ธรรม การหาเงินหาทองก็เป็นธรรม ถ้าผิดธรรม ตำรวจก็จับหรือต้องเสียเงินเสียทอง ถ้าผิดแล้วก็อยู่ยาก ถ้าปฏิบัติธรรมะไม่ถูกต้องแล้ว ก็ต้องมีความเดือดร้อน สิ่งที่เขาห้ามก็ยังขืนทำก็ต้องถูกจับ บอกว่ารู้จักชั่ว ถ้ารู้จักแล้วยังทำ ก็แสดงว่าเราทุจริตต่อความรู้ของตนเอง ดังนั้นสิ่งใดที่รู้ว่าชั่วแล้วต้องเลิก ถ้าไม่เลิกใครจะมาเลิกละให้ พระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์เป็นเพียงผู้ชี้แนวทางให้เท่านั้น แม้แต่พระพุทธเจ้ากับพระเทวทัตอยู่ด้วยกันก็ยังมีความอิจฉาพยาบาทกัน เพราะความเห็นไม่ตรงกัน พระเทวทัตก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นพี่ชายของพระนางพิมพามเหสีของพระพุทธเจ้าด้วยซ้ำสมัยนี้ก็เหมือนกับพี่น้องกัน ความเห็นไม่ตรงกัน อิจฉาเบียดเบียนกันด้วยกายด้วยวาจาก็มี
พระพุทธเจ้าท่านไม่อิจฉาผู้ใดแล้ว ใครจะมารุมด่าหมื่นคำแสนคำ ท่านก็ไม่ตกอกตกใจ ไม่เดือดร้อน ผู้ประกาศธรรมก็เช่นเดียวกัน ท่านไม่หวั่นไหว คนได้มรรคผลนิพพานนี้เพราะอะไร ก็เพราะจิตใจ คนตกนรกก็เพราะจิตใจ เราจึงต้องมาฝึกจิตฝึกใจ ถ้าเราไม่ฝึกก็เหมือนกับวัวกับควายนั่นแหละ วัวควายตัวไหนไม่ได้ฝึกแล้วไถนาก็ไม่เป็น คราดก็ไม่เป็น ตัวไหนฝึกเป็นแล้ว ไถก็สบาย คราดก็สบาย เพราะฝึกมาแล้ว คนก็เหมือนกัน แม้พูดธรรมะให้ฟังก็ไม่เข้าใจ ที่พ่อพูดมานี้เข้าใจบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ เป็นเรื่องจิตใจ ถ้าหากไม่ได้คิดไม่ได้คำนึงถึงเลย คบแต่เพื่อนที่ตามใจตัวทุกคน อยากเล่นไพ่ก็เล่น อยากเล่นเบี้ยก็เล่น อยากกินเหล้าก็กิน อิทธิพลของพญามารนี่มากนัก ถ้าไม่มีธรรมะแล้วพญามารลากคอไปได้ทุกวัน ไม่ว่าเฒ่า ไม่ว่าแก่ ไม่ว่าพระ ไม่ว่าสงฆ์ จะมีความรู้สูงเท่าใดก็ตาม เป็นคนชั้นไหนก็ตาม ติดคุกติดตะราง ลาออกจากงานจากการ ก็เพราะขาดธรรมะ ทุจริตต่อหน้าที่ก็เพราะขาดธรรมะ ถูกยิงถูกฆ่าตายไปก็มากก็เพราะขาดธรรมะ ธรรมะเป็นสิ่งจำเป็นแก่ชีวิตทุกคนจริง ๆ ถ้าไม่มีธรรมะแล้ว อยู่ในครอบครัวเมื่ออารมณ์ต่าง ๆ ผ่านเข้ามา ผัวก็ช่าง เมียก็ตาม เวลาพูดไปไม่เห็นคำพูด ไม่มีสติไม่รอบคอบ เมียพูดไม่ถูกใจผัวก็ต้องโกรธทันที ถ้าผัวไม่มีธรรมะ
ถ้าทุกคนมีธรรมะ มีสติ มีสมาธิ มีปัญญาแล้ว พูดอะไรมาก็ตาม มันให้อภัยซึ่งกันและกัน มันไม่เก็บ มันไม่ยึด มันไม่ถือ มันไม่เอามาแบก พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ขันธ์ห้าเป็นของหนัก ผู้ใดแบกขันธ์ห้า แบกตา แบกหู แบกจมูก แบกลิ้น แบกกายไว้ก็ทุกข์ ตาเห็นก็แบกเลย ไม่ถูกอกถูกใจ ไม่ว่าต่อหน้าก็ต้องว่าลับหลัง ระบายออก จึงหนัก อยู่ไหนก็อยู่ยาก ขาดศีล ขาดธรรม ขาดคำสอนของพระพุทธเจ้า ขาดการพิจารณาใคร่ครวญ ไม่นึกไม่คิดหาเหตุหาผล
พ่ออยากให้ลูกพิจารณาทุกสิ่งทุกอย่าง เพราะมีครอบมีครัวกันแล้ว จะเป็นพ่อเฒ่าแม่เฒ่า พ่อปู่แม่ย่า พ่อตู้แม่ตู้ของเขาแล้ว อย่าทำตัวอย่างเดิม ต้องขยับขยาย ทั้งทรัพย์ภายนอกและทรัพย์ภายใน ไม่ใช่คิดว่าเรามีเงินมีทองแล้ว มีไร่มีนามีเรื่องมีสวนแล้วพอแล้ว พ่อก็เห็นว่าทรัพย์ภายนอกมีพอสมควร มีหน้ามีตา พ่อก็ปลื้มอกปลื้มใจกับลูกทุกคน แต่ที่พ่อว่ามานี้ ลูกอาจคิดผิดใจ คำที่พ่อพูดไป เมื่อพูดความจริง ผิดก็ว่าผิด ถูกก็ว่าถูก มันไม่ถูกใจคน เพราะคนมีเสี้ยนอยู่ เมื่อไปถูกเข้าก็เคือง
ลูกชายก็ตามลูกหญิงก็ตาม การเล่นเบี้ยเล่นไพ่นี้ เป็นอบายมุข เป็นการล่อลวงเงินทองของกันและกัน มึงได้กูเสีย กูเสียมึงได้ เป็นอยู่อย่างนั้น ไม่มีผู้ใดไว้อกไว้ใจกัน แล้วจะเรียกว่าเป็นพรรคเป็นพวก เป็นมิตรที่ดีกันได้อย่างไร นั่งอยู่ด้วยกันก็ยังทะเลาะวิวาทกัน เกิดฆ่ากันตายก็เห็นมาแล้ว พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เลิกให้ละ ที่พ่อพูดนี้ก็ไม่ใช่จะบังคับลูก แต่ว่าให้คิดพิจารณาคำที่พ่อพูดว่ามันดีไหม ถ้าไม่ดีไม่เอาก็ไม่เป็นไร พ่อไม่บังคับลูกทุกคน ถ้าจะทะเลาะจะฆ่ากัน พ่อก็ไปเลิกให้ไม่ได้ ถ้าลูกไม่เลิกกันเอง พ่อเพียงพูดให้ฟังเท่านั้น มันไม่ดี ด่ากันคำหนึ่ง ปากก็ไม่มีศีล ถ้าลักของเขา ก็ไม่มีศีล ศีลจึงช่วยรักษากายกับวาจาไว้ ศีลจึงคล้ายกับขอบปากกระบุง ขอบปากตะกร้า สมาธิเข้าใจ ปัญญาเข้าใจ
เวลาทำบุญให้ทานก็ให้รับศีลเสียก่อน สวด พุทธัง สรณัง ธัมมัง สรณัง สังฆัง สรณัง ขอถือเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่ง สรณะ แปลว่าที่พึ่ง แล้วเราได้พึ่งหรือเปล่า ทบทวนตัวเราดู ทำการทำงานทุกอย่าง ได้มาก็ไม่รู้ว่าได้มา เพราะเราทำ ไปนึกว่าได้มาเพราะผีช่วย ทำบุญก็ทำให้ผี แก้บาปแก้บนกับผีกับสาง นั่นเป็นศาสนาผีไม่ใช่ศาสนาพุทธ อย่างนั้นพ่อไม่ทำจริง ๆ ลูกจะทำก็ทำไปไม่เป็นไร แต่พ่อไม่ทำ พ่อเพียงแต่พูดให้ฟัง เลิกก็ตามไม่เลิกก็ตาม จะยังทำไปอย่างนั้นก็ตาม แต่พ่อไม่เห็นด้วย เพราะมันไม่ดี มันโง่ มันหลง ผีอยู่ไหนก็ไม่รู้ พูดธรรมะให้ฟังก็ไม่รู้ ศีลก็ไม่รู้จัก จะโง่หรือฉลาดก็คิดเอา เงินเราก็เอาไปจ้างคนเขามาช่วยทำงาน ยาก็ซื้อมาพ่น หญ้าก็จ้างเขามาดาย ทุกสิ่งทุกอย่างเราทำทั้งหมอ พอเก็บเกี่ยวได้ นึกว่าผีช่วย นี่จะว่าโง่หรือฉลาดก็คิดเอา พิจารณาเอา
เรื่องอย่างนี้ไม่มีใครสอน มีแต่พระเท่านั้นที่จะแก้ความงมงายให้คน พระองค์ไหนไม่แก้ พระองค์นั้นก็เป็นผี เขาทำผิดก็ไม่แก้ หน้าที่ของสงฆ์มีหน้าที่แก้ความงมงาย ความหลงให้คน พระพุทธเจ้าท่านว่าพระสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบและสอนผู้อื่นให้ปฏิบัติด้วย สอนเพื่อให้ ไม่ใช่สอนเพื่อเอา สอนเพื่อให้ ต้องให้ความคิดความเห็นเขา เขาทำผิดก็ต้องบอกว่าผิด เขาทำถูกก็ต้องบอกว่าถูก ทำอย่างนั้นมันผิด ทำอย่างนี้มันถูก ต้องบอกเขาโดยตรง ไม่ใช่เขาทำผิดก็ทำไป บางทีก็บอกเลขบอกเบอร์ เจิมฤกษ์ เจิมลาง อย่างนี้ไม่มีในคำสอนของพระพุทธเจ้า จะมาบอกว่าวันนี้ดีวันนี้ชั่ว ไม่มี
วันมันไม่ดีไม่ชั่ว ไม่เป็นบุญไม่เป็นบาป วันมันเป็นอัพยากตาธรรม ที่ชั่วเพราะเราไปทำใส่มัน เราทำชั่วตอนเช้าก็เช้าชั่ว เราทำชั่วตอนเที่ยงก็เที่ยงชั่ว เราทำชั่วตอนเย็นก็เย็นชั่ว เราทำดีตอนเช้าก็เช้าดี เราทำดีตอนเที่ยงก็เที่ยงดี เราทำดีตอนเย็นก็เย็นดี ถ้าว่าวันนี้เป็นวันดีก็ลองไปเล่นไพ่ เล่นเบี้ย เล่นไฮโลดู มันก็ต้องมีผู้ได้ผู้เสีย สักวันมันดีก็ต้องได้หมดทุกคนซิ พิจารณาให้มันดี ดีหรือไม่ดีอยู่ที่การกระทำ
กรรม คือการกระทำ ฐานคือที่ตั้ง กรรมฐานคือที่ตัวของการกระทำ นั่งอยู่ตรงไหนก็ดี ถ้าเราทำดี เพราะฐานมันดี เราทำชั่วพูดชั่วนั่งอยู่ที่ไหนก็ชั่ว เพราะเราทำชั่ว มันไม่ได้ดีได้ชั่ว เพราะวันนั้นวันนี้ ยามนั้นยามนี้ นาทีนั้นชั่วโมงนี้ เล่นไพ่อยู่วงเดียวกันวันเดียวกัน ผู้ได้ก็มี ผู้เสียก็มี ความดีเราทำเอา ความชั่วเราทำเอา จะไปตกนรกก็ไม่ใช่ยาก จะไปสวรรค์ก็ไม่ใช่ยาก เรามีสิทธิ์ที่จะทำเอาได้ ทำดีก็ได้ทำชั่วก็ได้ ทำชั่วก็ไปลักของ เขาตีเอา ไปเล่นไพ่เล่นเบี้ย พอถูกเจ้านายจับก็ตกนรก นรกก็คือความทุกข์ใจนั่นแหละ ถ้าเราไม่ทำชั่วเจ้านายมาก็สบาย ใครจะว่าอะไรก็สบายเพราะรู้อยู่แก่ใจว่าความผิดไม่มี ยังยิ้มได้ ก็เท่ากับเราอยู่ในภาวะสวรรค์
สวรรค์ไม่ได้อยู่ที่ไหน อยู่กับคนนี่เอง นิพพานก็อยู่กับเรา นิพพานคือ ความเย็น ความไม่เบียดเบียน เป็นความสะอาด สว่าง สงบ สะอาดคือไม่เศร้าหมอง ใครจะว่าจะด่าก็ไม่เศร้าหมอง ใครสรรเสริญก็ไม่ดีใจ ใครนินทาก็ไม่เสียใจ ภาวะอย่างนี้เรียกว่านิพพาน นิพพานคือไม่มีอาสวะกิเลส เครื่องเศร้าหมองคือใจสบาย ใจไม่มีความทุกข์ ถ้ามีนิพพานน้อยก็สบายน้อย มีนิพพานมากก็สบายมาก ถ้าใจไม่ยึดมั่นถือมั่นเลยก็เป็นนิพพานทั้งหมด ไม่ใช่ว่าอยู่เมืองแก้วอยู่บนฟากฟ้าจึงเป็นนิพพาน นิพพานเราทำเอาสร้างเอา มีสติ มีสมาธิ มีปัญญารอบรู้อารมณ์ต่าง ๆ ที่วูบเข้ามาในจิตใจของเรา ให้เรารู้เราเห็น เราเข้าใจว่า มันไม่ใช่ตนไม่ใช่ตัว เป็นเพียงรูป เป็นเสียง เป็นอากาศสั่นสะเทือน ไม่ได้เป็นตัวเป็นตน ถ้าเราไปยึดมั่นถือมั่นเอารูปที่ตาเห็น เสียงที่ได้ยิน ผิดหูผิดใจมาตั้งเก้าปีสิบปีก็ยังเอามาแบกมายึดไว้ ท่านว่านั่นแหละนรก
ขันธ์ห้าเป็นของหนัก พระพุทธเจ้าท่านไม่แบก จะแบกทำไมมันทุกข์ ถ้าเรายังแบกอยู่กับครอบครัวก็อยู่ยาก ไม่สบายใจ คับแค้นใจ ความทุกข์ใจเกิดขึ้นมาเพราะอะไร ก็เพราะเราปล่อยวางไม่ได้ ถ้าเราปล่อยเราวางได้ ก็เกิดสวรรค์เกิดนิพพานขึ้นมาให้เรา ไม่ใช่จะเอาเงินเอาทองมาแลกได้ แต่ต้องทำเอา นรกก็เหมือนกัน ไม่ใช่เรื่องยาก ถ้าตาเห็นหูได้ยินสิ่งไม่ถูกอกถูกใจแล้วหน้ามุ่ย นั่นแหละเป็นนรกแล้ว ถ้าตาเห็นหูได้ยินอะไรก็ตามก็ทำใจให้ยิ้มแย้มแจ่มใสได้ก็เป็นสวรรค์ นรกไม่ได้อยู่ใต้ดิน สวรรค์ไม่ได้อยู่บนฟ้า แต่อยู่ที่จิตใจของคนเราที่กว้างศอกยาววาหนาคืบมีพร้อมทั้งปัญญาและใจ นรกอยู่ที่นี่ สวรรค์ก็อยู่ที่นี่ ใครมีสติปัญญาเลือกเอา พระพุทธเจ้าท่านว่าไม่เหลือวิสัยของคน ทำได้ทุกคนถ้าสนใจ ถ้าไม่สนใจหรือเกลียดก็ทำไม่ได้ไม่เห็น
การฟังจึงให้ฟังด้วยดี เขายกย่องก็ฟัง เขาด่าก็ฟัง เป็นธรรมะทั้งหมด สอนเราได้ อย่างเมื่อก่อนลูกไม่มีเงินมีทอง เดี๋ยวนี้ลูกมีเงินมีทองขึ้นมาเพราะอะไร อะไรมันสอนลูก ความทุกข์ใช่ไหม มีขึ้นมาเพราะความทุกข์ความจนใช่ไหม ธรรมชาติมันสอน ดังนั้นความทุกข์ความจนคำด่าต่าง ๆ จึงเป็นความรู้ให้เราได้ ถ้าเขาด่ามาก็ฟังดี เพราะถ้าเราไม่รู้ไม่เข้าใจธรรมะ ก็คงจะเป็นอย่างเขาเหมือนกัน ก็จะใจร้ายอย่างเขา จะด่าจะว่าอย่างเขา เรารู้จักแล้วจึงไม่กล้าพูดอย่างนั้น เพราะมีหิริโอตตัปปะ มีความละอายเกรงกลัวต่อบาป ต่อกาย ต่อวาจา ใจก็เป็นสมาธิตั้งขึ้นมา คือความระวัง ระวังจิต ปัญญาคือความรอบรู้ ใครพูดมาอย่างนั้น มันเป็นอย่างนั้น พูดอย่างนี้ มันเป็นอย่างนี้ มันไม่ได้มีสาระแก่นสาร พูดแล้วก็หมดไป
อย่างพระพุทธเจ้ากับพระอานนท์ พระอานนท์เคยทูลให้พระพุทธเจ้าหนีไปจากที่ ๆ มีคนนินทาเสีย พระพุทธเจ้าท่านจึงถามว่า จะให้ไปที่ไหนที่ไม่ถูกนินทา หรือถูกสรรเสริญ โลกมันเป็นอย่างนี้ มีแต่ดีกับชั่ว มันไม่มีตนไม่มีตัวจะไปยึดไปถือทำไม คนเราไม่ได้ดีเพราะเขาสรรเสริญ ไม่ได้ชั่วเพราะเขานินทา แต่อยู่ที่เราปฏิบัติดีปฏิบัติชั่วต่างหาก
ดังนั้น การฟังเทศน์ ฟังธรรม ถ้าฟังแล้วไม่นำไปปฏิบัติตาม มีประโยชน์น้อยที่สุด การทำบุญให้ทาน เลี้ยงเฒ่าเลี้ยงแก่ เลี้ยงพ่อเลี้ยงน้องนั้นดีแล้ว เราได้สละความขี้ตระหนี่ แต่เป็นเพียงศีลธรรม ไม่ใช่พุทธศาสนาพุทธะแปลว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน รู้อะไร รู้จิตรู้ใจของเรา มันคิดดีคิดชั่ววูบหนึ่งขึ้นมาเรารู้ เรียกว่า พุทธะ ถ้าคิดทำชั่วมันรู้มันจะไม่กล้าทำ เรียกว่า พุทธะ เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น เบิกบานนี้หมายถึงอะไรจะมากระทบก็ตาม จิตใจก็ไม่วอกแวก ไม่คลอนแคลนไม่หวั่นไหว ไม่ตื่นเต้น เรียกว่าจิตใจเบิกบานเพราะอารมณ์ของธรรมะเกิดขึ้นในใจ มีพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในใจ มีสัมมาทิฐิเกิดขึ้นในใจ อันนี้แหละที่พระพุทธเจ้าสั่งสอนเน้นหนักให้มีที่จิตที่ใจ
ลูกจะว่าอย่างไร พ่อประเดี๋ยวก็จะตายแล้ว ถ้าตายไปก็จะทำประโยชน์อะไรให้ไม่ได้อีก ก็ต้องพูดให้ฟังเดี๋ยวนี้แหละ พ่อจะพูดแต่ธรรมะให้ฟัง จะไม่ได้พูดเรื่องอื่น พ่อศึกษาเล่าเรียนมาได้ยี่สิบกว่าปีแล้ว ได้พูดให้พี่ให้น้องฟัง บางทีก็พูดให้พระเจ้าพระสงฆ์ฟัง ซึ่งเขาเข้าใจก็มี ธรรมะไม่ได้เลือกเพศเลือกวัย ลูกสอนพ่อสอนแม่ก็ได้ ถ้าลูกเข้าใจธรรมะ พ่อสอนลูกก็ได้ ลูกสาวสอนพ่อก็ได้ ลูกชายสอนพ่อก็ได้ ลูกเขยสอนพ่อก็ได้ พ่อทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง ตักเตือนได้ แม่ของลูกก็เหมือนกัน เขาก็อยู่ไปตามประสาของเขา เขาก็เข้าใจธรรมะเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ลึกซึ้ง เพราะสมองไม่ค่อยดี แต่ก็ดีกว่าที่แม่เขาไม่เข้าใจ เพราะถ้าพ่อแม่ไม่เข้าใจ คำสอนของพระพุทธเจ้า ลูกก็อยู่ยาก ถ้าลูกไม่เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้าสักเล็กน้อย พ่อแม่ก็อาจถูกเสียดแทงเพราะลูกก็ได้ หรือถ้าไม่ถูกเสียดแทงเพราะลูกกลัวก็ยังดี เป็นธรรมะเหมือนกัน แต่เป็นธรรมะอย่างหยาบ ดีน้อย ดีมากก็คือ รู้แจ้งถึงจิตใจตัวเอง ที่มันนึกมันคิดมันเกิดขึ้นมาอย่างไรก็รู้ทันท่วงที ถ้าไม่รู้จักอย่างนี้ ไม่วันใดก็วันหนึ่งต้องเสีย เสียคำพูด เสียความคิด
พระพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญทางจิต คือต้องรู้คิด เห็นคิด คือให้เห็นเสียก่อนจึงรู้ ถึงเพียงรู้จะไม่แจ่มแจ้งเท่าเห็น ให้ทั้งเห็นทั้งรู้จึงจะถูก ถ้ารู้อย่างเดียวไม่เห็น ก็เหมือนที่เรารู้ว่า ประเทศอเมริกาเขาเจริญ เมืองไทยสู้ไม่ได้ เรารู้อยู่ แต่เราไม่เคยไป ไม่เคยเห็น เรียกว่ารู้แต่ไม่เห็น เขาว่าบุญก็รู้อยู่ แต่ไม่เห็นบุญ เขาว่าบาปก็รู้ แต่ไม่เห็น ถ้าเห็นเราก็ทำบุญได้ ละบาปได้ ถ้าไม่เห็นก็ทำไปตามเขา เขาว่าบุญก็บุญไปด้วย เขาว่าบาปก็บาปไปด้วย เขาว่าดีก็ดีไปด้วย เขาว่าชั่วก็ชั่วไปด้วย ทำบุญแต่ไม่ละบาปก็ได้ ท่านจึงให้ทั้งเห็นทั้งรู้ อย่ามีเพียงศรัทธาจริต” เชื่อง่าย ทำบุญให้ทาน ทำได้แต่ให้รู้จัก เมื่อทำบุญก็ต้องหาผู้ที่จะมาสั่งสอนให้ละความชั่วออกไป ผัวก็ช่างเมียก็ตาม เวลาฟังธรรมะต้องตั้งใจฟัง ฟังไม่ดีไม่ได้ปัญญา ฟังไม่ดีไม่ได้บุญ ข้อใหญ่ใจความของการทำบุญ คือ การฟังธรรมคำสอนเท่านั้นแหละ สิ่งอื่นไม่สำคัญ ไม่ใช่การเลี้ยง จะเรียกพี่เรียกน้องมาเลี้ยงสนทนากันเมื่อใดก็ได้ ซึ่งก็ดีเป็นศีลธรรม คนทีเขาไม่มีศาสนาเขาก็ทำกันอยู่ เลี้ยงกันอยู่ แต่บางทีเขาไม่ได้เรียกว่า ทำบุญทำทาน เขาเรียกว่าสงเคราะห์ ซึ่งก็ไม่ผิดกัน เอาให้ ทาน ช่วยเหลือ สงเคราะห์ ก็คือสิ่งเดียวกัน ทานแท้ ๆ ไม่ได้หวังผลตอบแทน ไม่ได้หวังเอาบุญเอากุศล ทำอย่างนี้จะได้บุญมาก ทำบุญเอาบุญได้บุญน้อย อาจจะไม่ได้ด้วยซ้ำ
เมื่อพ่อยังเป็นอยู่นี่นะ บางทีเจ็บไข้ขึ้นมา ให้กินข้าวสองมื้อสามมื้อ พ่อก็ไม่กิน ถ้าหากพ่อตายลงไปแล้ว จะแต่งข้าวปลาให้กินอยู่อีกจะกินได้อย่างไร ถ้าทำอย่างนั้นก็เรียกว่ายังงมงายอยู่ จึงสงสัยว่า พ่อคงจะอยากกินข้าวอยู่อีก พ่อบอกได้เลยว่า อย่าสงสัย ถ้าพ่อตายไปแล้ว ไม่ต้องแต่งข้าวปลามาให้กิน ไม่ต้องจุดฟืนจุดไฟ ถ้าเป็นกลางวัน ถ้าเป็นกลางคืนก็จุดได้เพราะต้องการแสงสว่าง กลางวันสว่างอยู่แล้วจะจุดทำไม ที่พระท่านว่าเวลาฟังเทศน์ฟังธรรม ให้จุดธูปจุดเทียนบูชาด้วยดอกไม่ นั่นเป็นคติธรรม ให้เราน้อมเข้ามาในใจ เทียน หมายถึง แสงสว่าง พระธรรมของพระพุทธเจ้าเปรียบเสมือนแสงสว่าง ผู้ใดถึงธรรม ธรรมเข้าถึงจิตใจผู้ใดแล้ว จิตใจก็จะสว่างไสวขึ้นมา จึงเอาเทียนมาเปรียบเทียบให้ฟังให้คิด ไม่ใช่ไม่มีเทียน แล้วก็เลยไม่ไปวัด เมื่อเข้าใจแล้ว จะเอาเทียนไปก็ได้ ไม่เอาไปก็ได้ ธูปจุดทำไม จุดให้มันหอม พระพุทธเจ้าปรินิพพานมาสองพันกว่าปีแล้ว ธรรมะคำสั่งสอนของท่านยังหอมมาจนทุกวันนี้ เพราะยังมีคนประพฤติปฏิบัติตามอยู่ยังหอมอยู่ คนไม่ได้ปฏิบัติตามก็เหมือนไม่ได้จุดธูปไม่หอม ดอกไม้หมายถึงพระสงฆ์ พระสงฆ์คือผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ดังนั้นเวลาไปฟังเทศน์ ฟังธรรม จึงควรทำความหมายให้มีพร้อมทั้ง ธูป เทียน ดอกไม้ไม่ใช่มีเพียงวัตถุเท่านั้น
วิปัสสนา แปลว่า รู้แจ้งในจิตใจของตัวเอง คิดนึกดีชั่วอย่างไรจะรู้ ไม่สงสัย รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รู้จักศาสนาผี ศาสนาพราหมณ์ ศาสนางมงาย เพราะมีพุทธะอยู่ในใจแล้ว จะไม่หลงไปไหว้สิ่งอื่น ไม่ไหว้ผี ไม่ไหว้เทวดา ไม่ไหว้ต้นไม่ หรือสิ่งอื่นนอกจาก พุทธะ ธรรมะ สังฆะ ผี เทวดา อยู่ในตัวคนนี่เอง ถ้าเราไม่มีพระอยู่ในจิตใจไม่มีศีล ไม่มีธรรมแล้ว ผีก็เข้ามาสิงอยู่ พูดออกมาก็รู้ได้ทันที ได้ยินเสียงก็รู้ เดี๋ยวก็ผี เดี๋ยวก็ห่า เดี๋ยวก็โคตรนั่น โคตรนี่ นั่นเป็นคำพูดของผี ไม่ใช่พระถ้าพระพูดก็พูดแต่สิ่งดีงาม ถึงไม่เห็นตัวก็ตาม
ภาษาพระภาษาคน กินข้าวก็พูดว่ากินข้าว กินน้ำก็พูดว่ากินน้ำ ถ้าภาษาผีแล้วพูดได้ทุกอย่าง แล้วแต่จะนึกอะไรขึ้นมาแทนคำว่ากินได้ เพราะเจ้าของไม่ได้วัดจิตวัดใจของตัวเองสักครั้ง เจ้าของไม่มีวัดไม่มีพระ ถ้ามีวัดก็ต้องมีพระ ถ้ามีวัด ก็ต้องวัดจิตวัดใจ ดูจิต ดูใจ ดูกาย ดูวาจา เป็นอย่างไรก็ต้องวัดดู วัดแล้วก็รู้แจ้งว่า พูดอย่างนั้นดี พูดอย่างนี้ไม่ดี ทำอย่างนั้นดี ทำอย่างนี้ไม่ดี อะไรไม่ดีก็เลิก พระจึงเป็นผู้ประเสริฐคำพูดก็ประเสริฐ การกระทำก็ประเสริฐ ทำไร่ทำนาก็ประเสริฐ ทำไร่ทำนาก็ปฏิบัติธรรมได้
การกระทำทุกอย่างหลีกธรรมะไม่ได้ เป็นธรรมะทั้งนั้น นึ่งข้าวหุงแกงเป็นการปฏิบัติธรรมะทั้งนั้น ถ้าไม่มีธรรมะแล้วเดือดร้อน คอยว่าคอยด่ากัน คอยเบียดเบียนกัน เพราะขาดธรรมะ มีแต่ธรรมะเปรต ธรรมะมาร บาป คือ เราคิด เราคิดโดยไม่รู้นี่แหละ ดังนั้นแม้ทำบุญก็ยังเป็นบาปอยู่ ถ้าไม่รู้บุญ อย่างที่ลูกเคยทำ ที่แล้วก็แล้วไป พ่อเพียงแต่พูดให้ฟัง ลูกเป็นหัวใจของพ่อ เมื่อเห็นลูกทำไม่ดี พ่อก็น้ำตาตกใน นี่แหละให้เข้าใจ ประเดี๋ยวพ่อก็ตายจากไป ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ไม่ช้าก็เร็ว
พระพุทธเจ้าท่านว่า ความตายเป็นของแน่นอน ร่างกายนี้ไม่ได้ตั้งอยู่นาน ครั้นปราศจากวิญญาณอันเขาทิ้งเสียแล้ว เมื่อใดจักนอนทับลงพื้นดิน เมื่อนั้นดุจดังท่อนไม้ท่อนฟืนหาประโยชน์มิได้ ท่อนไม้ท่อนฟืนยังทำประโยชน์ได้ คนตายไปแล้วก็กลายเป็นเถ้าเป็นดินไปเท่านั้นเอง ลูกจะทำบุญให้ทานไปให้สักหมื่นสักล้านก็ไม่ได้รับ พ่อปฏิเสธเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ คนอื่นว่าได้ก็ให้เขาได้ซะ สำหรับพ่อนั้นไม่ได้แน่ จะได้อย่างไร แม้ยังไม่ตายก็กินไม่ได้แล้ว ตายแล้วจะกินอะไรได้ ผู้ตายไม่ได้หรอกบุญ ผู้ทำได้ ได้อะไร ได้ทำ ไม่ใช่ได้บุญถ้าไม่รู้จักบุญ