ผลของการเจริญสติที่ถูกต้อง
ก. ผลคือสะอาด
ดังนั้นการทำบุญให้ทานรักษาศีล
การทำสมถกรรมฐานและการเจริญวิปัสสนา, ต่างก็เป็นการกระทำเพื่อเอามทำลายกิเลส
คือ ความโลภความโกรธความหลง. การทำลายกิเลสได้นี่แหละคือตัวบุญแท้ๆ,
เป็นยอดบุญ ; ถ้าเป็นสวรรค์ก็เป็นสวรรค์แท้ๆ, เป็นแก่นของสวรรค์เป็นยอดแท้ของสวรรค์; ถ้าเทียบกับพระนิพพานก็เป็นพระนิพานแท้,
เป็นแก่นเป็นยอดของนิพพาน, ความหมดไปของกิเลส
ก็คือ สะอาด.
นิพพานแปลว่าความดับเย็นลง, คือเราไม่ร้อนอกร้อนใจ
เพราะกิเลสดับเย็นลง. ถ้าขณะนี้เราไม่มีความทุกข์มันก็เป็นนิพพานในขณะนี้เอง,
เมื่อเรามีนิพพานในขณะนี้แล้ว ก็ต้องได้ไปนิพพานแน่ๆ.
เราควรจะรู้จักสวรรค์ที่ในใจของเรา, ความไม่มีทุกข์นั่นแหละเป็นสวรรค์คือจิตใจเราร่าเริงเบิกบาน,
เราดูจิตดูใจเราอยู่มันเป็นเมืองสวรรค์
เมื่อเรามีสวรรค์อยู่ที่ใจอย่างนี้แล้ว พอตายไปจะได้ไปเกิเดเมืองสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย.
ข. ผลคือสว่าง
หากใครไม่รู้จักเมืองสวรรค์
ก็ไม่สามารถไปเมืองสวรรค์ได้หรอก. ตัวอย่างเช่น ในบ้านของเรามีไฟฟ้า
เราอยากได้แสงสว่าง แต่เอามือไปจับที่หลอดไฟแสงไฟก็จะไม่มี.
เมื่อเราได้เรียนรู้ว่าจะเปิดไฟต้องเปิดที่สวิตช์ไฟ เราก็ไปเปิดสวิตช์ ไฟก็ไปสว่างอยู่ที่หลอด, นี่ก็เหมือนกัน.
วิธีที่จะจัดการกับความโลภความโกรธความหลงนั้น, เราไม่ต้องไปคิดหาว่าความโกรธความโลภความหลงอยู่ที่ไหน,
เราเพียงกลับเข้ามาดูจิตดูใจของเราก็จะทำลายความโกรธความโลภความหลงได้เอง.
พระพุทธเจ้าตรัสได้แล้วว่า
พระองค์ตรัสรู้ได้โดยการบำเพ็ญทางจิต เราก็ต้องมาดูจิตดูใจของเรา. การดูจิตใจนี้แหละ
เป็นการเปิดไฟฟ้าโดยจับที่สวิตช์ไฟฟ้า. เมื่อเราทำบ่อยๆ
สติจะเกิดความคล่องแคล่วว่องไว, สติจะไปสกัดกั้นความโกรธความโลภความหลงไม่ให้เกิดขี้นได้.
ตัวสติและตัวสมาธินั้นอยู่ด้วยกัน ; ส่วนปัญญาแปลว่าเห็น-รู้แจ้ง, ภาษาบาลีว่า นัตถิ ปัญญา สะมาอาภา -
อะไรจะสว่างเท่าปัญญาไม่มี; สติ เตสัง
นิวาระนัง - สติเป็นเครื่องกั้นกระแสของกิเลส, ไม่มีอะไรจะไวพอที่จะกั้นกระแสอันนี้ได้นอกจากสติ.
สติปัญญาตัวนี้แหละที่เข้าไปสัมผัส-ไปรู้-ไปเห็น-ไปสกัดกั้นไม่ให้เรามีความหลง. ทั้งนี้เพราะสติ-สมาธิ-ปัญญา มันตรงข้ามกับโทสะ-โมหะ-โลภะ, ถ้าเราไม่เห็น-ไม่รู้-ไม่เข้าใจ มันก็มีโทสะ-โมหะ-โลภะเต็มตัวอยู่อย่างนั้น เปรียบเหมือนเวลากลางคืนมันก็มืด :
พอจุดเทียนสว่างขึ้น ความมืดก็หายไป เพราะความมืดกลัวแสงไฟ,
พอไฟดับความมืดก็เข้ามาทันที.
ค. ผลคือสงบ
ที่อาตมาให้ข้อคิดพร้อมกับวิธีปฎิบัติอย่างลัดๆ
มานี้ ก็เพื่อท่านทั้งหลายจะได้นำเอาไปปฎิบัติและจะได้รับผลเร็วไม่ต้องเสียเวลา. วิธีนี้นำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้
ไม่ต้องหยุดงานไปปฎิบัติ. บางท่านเอาไปปฎิบัติแล้ว, บางท่านเพียงแต่เคยได้ฟังมา,
บางท่านไม่เคยได้ยินอาจรู้สีกขัดอกขัดใจ
ถ้ารู้สึกอย่างนั้นก็ให้เอาความรู้สึกนั้นทิ้งไว้ก่อน
ความรู้ที่เคยเรียนมาแต่เดิมก็เก็บวางไว้ก่อน
แล้วทดลองทำตามที่อาตมาพูดนี้ ลองดูจะทราบผลที่เกิดขึ้นว่าเป็นอย่างไร.
อาตมากล้ารับรองว่า วิธีนี้ถูกต้องตามที่พระพุทธเจ้าสอนอย่างน้อย 80
เปอร์เซ็นต์ถ้าพูดตามความรู้สึกของอาตมาเพียงผู้เดียว ก็ว่าถูก 100 เปอร์เซ็นต์เพราะปฎิบัติแล้วมันบรรเทาความโลภความโกรธความหลงได้
เมื่อสิ่งเหล่านี้ลดลงความสงบก็เข้ามาแทนที่.
ง.ผลคือสติสมบูรณ์
จะขอยกตัวอย่างอีกสักเรื่องเพราะยังมีเวลา.
เอาแก้วน้ำมาวางไว้ 1 ใบ
เราจะเห็นว่าในแก้วมีอากาศ, พอเทน้ำใส่ลงไป อากาศก็ไหลออก
น้ำเข้าไปแทนที่, พอเทน้ำออกอากาศก็เข้าไปแทนที่ใหม่.
อันนี้ก็เปรียบได้กับเราพลิกมือ เรารู้เรามีสติ สติเข้าไปแทนที่ความไม่รู้ความหลง,
ความไม่รู้ก็หลุดออกไปจากจิตใจของเรา. ให้เราทำบ่อยๆ
จับความรู้สึกอยู่บ่อย ๆ ทุกอิริยาบถ สติก็จะมีมากขึ้นๆ
ความหลงความไม่รู้ก็จะลดลงๆ เหมือนน้ำเข้าไปแทนที่อากาศในแก้ว ฉันนั้น
บางท่านอาจเคยได้ยินหรืออาจได้รับการสอนมาว่า
ให้ทำบุญโดยการสร้างโบสถ์สร้างวิหารเป็นต้น แล้วจะได้บุญเท่านั้นเท่านี้กัป, และคงจะเคยได้ยินว่า
100 ปีของเมืองคนเท่ากับ
1 ปีทิพย์ของเทวดาเทวดาก็จะเอาเมล็ดงา 1 เมล็ดไปทิ้งใส่ในบ่อที่กว้าง 100 โยชน์ ลึก 100
โยชน์ ถ้าเต็มเมื่อใดก็จะเป็น 1 กัป.
นอกจากนี้ก็คงเคยได้ยินว่า การใส่บาตร 1 ครั้งได้อานิสงส์ 6 กัป
ไปส่งปิ่นโตเช้าถวายพระได้อานิสงส์ 5
กัป ไปส่งเพลได้อานิสงส์ 4
กัป ดังนี้เป็นต้น. สิ่งเหล่านี้เป็นปริศนาธรรมทั้งนั้น, แต่บางคนฟังแล้วก็ไม่เข้าใจ, ถ้าจะเข้าใจได้เราต้องมาปฎิบัติ
มาเจริญสติ โดยพลิกมือขึ้นคว่ำมือลง-รู้สึก.
เพราะเมื่อก่อนนั้น เราทำอะไรเราไม่มีสติ, คือมันว่างๆ
ไม่รู้สึกอะไรเลย. เปรียบก็เหมือนบ่อหรือเหวที่ว่างๆ ไม่มีอะไร
อย่างเดียวกับในปริศนาธรรมนั่นแหละ.
แต่เมื่อมาฝึกสติจับความเคลื่อนไหวในทุกอิริยาบถเช่น กะพริบตา มองไปทางซ้าย
มองไปทางขวา พลิกมือ คว่ำมือ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็รู้สึกมีสติกำหนดรู้, เมื่อทำอยู่ดังนี้สติก็จะเพิ่มมากขึ้น เหมือนเอาเมล็ดงาไปใส่ในบ่อในเหวที่กว้าง
100 โยชน์ ลึก 100 โยชน์นั้น.
คำเปรียบอันนี้ก็มุ่งหมายว่า - เราจะต้องฝึกสติมากๆ
ทำมากๆ จึงจะได้ผล ให้สติมันเต็มอยู่จะได้ไม่เผลอไม่หลง.
เมื่อเราได้เจริญสติปัฎฐานสี่แบบที่กล่าวนี้แล้วจะมีความดำริมีความคิดความเข้าใจ
มีความสามารถที่จะขบคิดปัญหาต่างๆ ภายในจิตใจของเราได้จริงๆ
พิมพ์โดย คุณ สันทัด เจิดจรรยาพงศ์