การปฏิบัติธรรม

                                การปฏิบัติธรรม    หน้าที่ 81 
                                                                  
                                                                  (วิปัสสนา)
     การปฏิบัติธรรมนั้น,ถึงแม้จะปฏิบัติโดยแบบวิธีใดเท่าใดก็ตาม,
ถ้ายังไม่ได้เข้ามาจับจุดที่จิตใจที่กำลังปรากฏอยู่นี้ ก็แสดงว่าเรายังไม่
เห็น-ไม่รู้-ไม่เข้าใจ กล่าวคือ ยังไม่เข้าใจในหลักของการปฏิบัติธรรม
ตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่นั่นเอง. พระองค์ได้ตรัสบอกเอา
ไว้ว่าเพราะพระองค์บำเพ็ญทางจิตกล่าวคือปฏิบัติทางจิต จึงได้สำเร็จ
เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า,ถึงอย่างนั้นคนเราส่วนมากก็เพียงทำบุญให้
ทานเพื่อที่จะไล่ความทุกข์ ยังไม่ได้มาปฏิบัติตามแบบของพระพุทธเจ้า.
พระองค์ท่านยังเคยตรัสไว้อีกว่า


     "ทำบุญร้อยครั้งพันหน อานิสงส์ยังไม่เท่าการรักษาศีลเพียงครั้งเดียว,
การรักษาศีลร้อยครั้งพันหน อานิสงส์ก็ยังไม่เท่ากับการทำสมถกรรมฐาน
ให้จิตใจสงบเพียงครั้งเดียว, การทำสมถกรรมฐานให้จิตใจสงบร้อยครั้งพันหน
 ยังไม่เท่าการเจริญวิปัสนากรรมฐานเพียงครั้งเดียว"

     วิปัสนา หมายถึงอะไร?

    วิปัสนา หมายถึง ความรู้แจ้งเห็นจริงต่างเก่าล่วงภาวะเดิม,เพราะ
ภาวะเดิมเป็นภาวะที่ไม่รู้ไม่เห็นไม่เข้าใจไม่แจ่มแจ้ง หรือจิตใจของเรา
ยังขุ่นมัวอยู่นั่นเอง. การทำวิปัสนานี้ก็หมายถึงการทำความรู้สึกตัว.
การทำความรู้สึกตัวนี้ มีอานิสงส์มาก, พระองค์ท่านก็ทำความรู้สึกตัว
เป็นการปฏิบัติธรรม และสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้า.

                                                                     (ความสงบ)
     คนเราส่วนมากเข้าใจว่า การจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์นั้นต้องทำ
สมถกรรมฐานให้จิตสงบ. อันที่จริง ความสงบนั้นมันมีอยู่ ๒ อย่าง
คือ (๑)ส สงบเหมือนเข้าไปอยู่ในถ้ำ (๒) สงบเหมือนเราออกจากถ้ำ.

     สงบแบบอยู่ในถ้ำนั้นก็หมายความว่า เหมือนกับเราอยู่ในถ้ำ
หรืออยู่ในความมืดในห้องมืด, พอเราจุดไฟ ความมืดจะหายไปความ
สว่างเข้ามาแทนที่, แต่พอดับไฟความมืดก็เข้ามาอีก.ดังนั้น ถึงแม้
เราจะจุดไฟมีความสว่างแล้ว แต่เราก็ยังอยู่ในถ้ำ เราไม่สามารถจะ
เห็นรูปร่างของถ้ำได้ เราเพียงเห็นสิ่งของบางอย่างภายในถ้ำเท่านั้น.
ความสงบแบบอยู่ในถ้ำจึงเรียกว่า สงบอยู่ใต้โมหะ หรือสงบแบบไม่รู้
หรืออยากไม่รู้นั่นเอง. ดังนั้น การที่บางคนไปนั่งให้จิตใจสงบแล้ว
เข้าใจว่าตัวเองได้เจริญวิปัสสนา, อย่างนี้ก็จริง; แต่เป็น "จริงชนิดอยู่
ในถ้ำ"ดังกล่าวแล้วนี้เอง.

     ส่วนสงบแบบออกจากสถ้ำ ก็เหมือนกับเมื่อเราออกไปอยู่นอกถ้ำ
แล้วมันก็ไม่มืด, ไม่ต้องจุดไฟก็ได้ และเราก็จะสามารถมองเห็นและ
รู้ว่าถ้ำนั้นมีรูปร่างสัณฐานอย่างไร, เปรียนได้กับความสงบที่ปราศจาก
ความหลงผิด กล่าวคือ สงบจากกิเลส ไม่มีโทสะโมหะโลภะนั่นเอง.
การจะสงบแบบนี้ได้เราต้องรู้แจ้งเห็นจริงเสียก่อน; การรู้แจ้งเห็นจริง
นั่นแหละเรียกว่าวิปัสสนา, วิปัสสนาแปลว่ารู้แจ้งเห็นจริงตามความเป็น
จริง. การสงบแบบออกจากถ้ำนี้จึงเรียกว่า สงบแบบรู้, รู้แล้วก็สงบ.

     อาตมาจึงขอเตือนจิตสะกิดใจท่านทั้งหลายว่า การเจริญวิปัสสนา
นั้นมีอุปสรรคมาก ถ้าเราไม่รู้เราก็ทำไปผิดๆ ต่อเมื่อเราเห็นเรารู้เรา
เข้าใจแล้ว เราจึงแก้ปัญหานี้ได้.

                                                      (อุปสรรคประการแรก)
     อุปสรรคประการแรกของการเจริญวิปัสสนา นั้น ก็คือ : เมื่อ
เราทำความเคลื่อนไหวรูปกายและมีสติรู้เท่าทันมันก็มีปัญญาขึ้นที่ใจ
ทำให้รู้เรื่องตามความเป็นจริง, คือ รู้รูป-นาม รู้ทุกขัง-อนิจจัง-อนัตตา
รู้สมมติ รู้ศาสนา รู้พุทธศาสนา รู้บาป รู้บุญ, อันนี้เป็นปัญญาของ
วิปัสสนารู้; แต่เป็นเพียงวิปัสสนาเปลือกๆ จึงยังเอามาแก้ทุกข์ไม่ได้,
เป็นเพียง "รู้อยู่ในความรู้" คือ รู้คิดโน้นคิดนี้ รู้ในตำหรับตำรา, มัน
เป็นวิปัสสนูปกิเลส. อุปสรรคก็คือว่า เมื่อความรู้ชนิดนี้เกิดขึ้นแล้ว
เราก็เข้าไปฝังอยู่ในความรู้ชนิดนี้ จึงเป็นเพียงความรู้ที่ยังเหมือนกับ
อยู่ในถ้ำ. ดังนั้น เราต้องพยายามหาวิธีออกจากถ้ำหรือถอนตัวออก
จากความรู้ต่อไป, โดยการออกมาคอยเฝ้าดูความคิดเรา, พอมัน
คิดอะไรวูบขึ้นมา ก็ให้เรารู้เราเข้าใจว่ามันเกิดขึ้นแล้ว - นี่เป็น
การปฏิบัติธรรมขั้นลึกเข้าไปอีกหน่อย.


     ปกติต้นไม้  ประกอบด้วยเปลือกชั้นนอกเอาเปลือกชั้นนอก
ออกก็จะถึงชั้นที่เป็นน้ำหล่อเลี้ยงอยู่ภายใน, เอาน้ำออกจึงจะถึงเนื้อไม้
สีขาว, เอาเนื้อไม้สีขาวออกจึงจะถึงแก่นไม้. ศาสนาก็เหมือนกัน :
ความรู้เรื่องรูปนามปาปบุญนั้นเป็นความรู้เหมือนกัน, แต่เป็นความรู้
ชั้นเปลือกๆ พอแก้ทุกข์ได้ขั้นหนึ่ง คือ จะไม่งมงายไม่เชื่อเรื่องฤกษ์งาม
ยามดี  ไม่เชื่อผีสางเทวดา, แต่ยังมีความโกรธความโลภความหลงอยู่
เพราะไม่รู้สมุฏฐานหรือต้นเหตุที่มันเกิดขึ้นมา.

     การที่จะมาแก้ใขอุปสรรคดังกล่าวการที่จะรู้ต้นเหตุของการ
เกิดความโกรธความโลภความหลงนี้, เราต้องมาคอยเฝ้าดูจิตใจของเรา
ทำเหมือนแมวคอยจ้องตะครุบหนู พอจิตใจมันคิดขึ้นมาเราคอยจ้อง
คอยมองให้รู้ทัน. คิดขึ้นมาปุ๊ป-รู้ทัน-ตัดไปเลย, อย่าให้มันปรุงแต่ง
ต่อไป. คิดขึ้นมา-ตัดไปเลย; คิดขึ้นมา-ตัดไปเลย; ทำอย่างนี้บ่อยๆ
ความคิดจะลดน้อยลงไป สติจะเพิ่มมากขึ้นๆ, เหมือนบวกกับลบ เมื่อ
บวกมากขึ้นลบก็น้อยลง. อย่างเช่นทีแรกเราไม่เคยเห็นความคิดเลย,
เรียกว่าคิดมาร้อยเรื่องก็ไม่เคยเห็นแม้แต่เรื่องเดียว; พอเรามาคอย
จ้องดูแบบนี้ เราจับได้ ๑ ครั้ง แล้วเราตัดมันไป, ความคิดก็เหลือไม่ถึง
๑๐๐ ครั้ง, มันจะลดน้อยลงไป ๆ เรื่อย ๆ ตราบที่เราทำอยู่-เป็นขั้นเป็น
ตอนไป.

     เราคอยจ้องมันอยู่อย่างนี้แหละ, มันคิดมา-ตัดทิ้งไป คิดมา-ตัด
ทิ้งไป. มันคิดมา ๑๐๐ เรื่อง เรารู้เสีย ๙๕ เรื่อง แสดงว่าเรามีสติมาก
แล้ว เราจับไม่ทันเพียง ๕ เรื่องเท่านั้นเอง, เราต้องพยายามทำอยู่ที่
ตรงนี้แหละ : คอยดูความคิด แต่อย่าเข้าไปอยู่ในความคิด. เมื่อเรา
รู้เห็นความคิดทันทั้ง ๑๐๐ เรื่อง, คือทันความคิดทุกครั้งทุกคราว, ก็
เท่ากับว่าเราได้รู้ได้เห็นว่าความโกรธความโลภความหลงมันเกิดขึ้นที่
ตรงนี้ เราก็ต้องตัดมันไป  กิเลสก็จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย; เรียกว่า รู้เท่า-
รู้ทัน-รู้จักกัน-รู้จักแก้.   ตอนนี้เป็นตอนที่แราแก้ความโกรธความโลภ
ความหลงได้.

     กิเลสจะเกิดขึ้นได้ก็เพราะเราหลงที่ตรงนี้  เราไม่รู้สมุฏฐานที่
ตรงนี้, แม้คนนั้นจะเข้าวัดฟังธรรม ให้ทานรักษาศีลเจริญสมถกรรมฐาน
วิปัสสนากรรมฐานก็ตาม ถ้าบุคคลนั้นยังไม่เคยเห็นความคิดของตนเอง
แล้วก็แสดงว่าผู้นั้นยังไกลจากสัจจธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า. แต่
ในทางตรงกันข้าม, คือเขาไม่เคยเข้าวัดไม่เคยฟังธรรม ไม่เคยให้ทาน
ไม่เคยรักษาศีล, แต่เขาทำความรู้สึกภายในจิตใจของเขาเสมอไป
จิตใจมันคิดนึกอะไร  เขารู้เท่า-รู้ทัน-รู้จักกัน-รู้จักแก้-รู้จักเอาชนะ
ได้ทุกครั้งทุกคราว, คนนี้แหละ  ได้ชื่อว่าเป็นผู้เข้าใกล้สัจจธรรมหรือ
ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า.

     เราเคยได้ยินใหมที่พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ว่า ธรรมะมีอยู่ก่อน
แล้ว  แต่ยังไม่มีบุคคลผู้มีปัญญาที่จะขุดค้นขึ้นมาก็เลยยังหาไม่เจอ,
เมื่อหาไม่เจอแล้วก็พากันมาทำบุญให้ทานรักษาศีลและทำสมถกรรมฐาน
ไปเพื่อให้เป็นนิสัย  เป็นบุญเป็นกุศลสะสมไว้ชาติหน้าหรือข้างหน้า;
เราชื่อกันมาอย่างนี้ ซึ่งเป็นการเข้าใจผิด  พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้สอน
อย่างนี้; พระองค์สอนให้มาเห็นจิตเห็นใจตัวเอง.

     พวกเราคงเคยได้ยินกันมาแล้ว  เรื่องพระวักกลิติดพระรูปของ
พระพุทธเจ้าแต่ไม่เคยดูจิตดูใจของตนเอง เมื่อถูกพระพุทธเจ้าประณาม
จึงน้อยใจจะไปกระโดดเหวตาย  พระองค์จึงไปห้ามไว้แล้วสอนว่า
เกิดเป็นคนนั้นยาก  เมื่อเป็นคนแล้วการที่จะได้ฟังธรรมจากสัตบุรุษก็
ยากยิ่ง, แล้วตรัสว่าอันนี้เป็นเพียงรูปกาย  ตายแล้วเน่าเหม็นเปื่อยไป
เหมือนกัน ไม่ใช่พระพุทธเจ้าตัวพระพุทธเจ้าจริงๆนั้นในตัวพระ
วักกลิเองก็มี;  กล่าวคือ  ธรรมะนี้มีอยู่ในคนทุกคน  ซึ่งก็คือ  ความ
สะอาด-สว่าง-สงบนั่นเองนั่นแหละพระพุทธเจ้า.  พระพุทธองค์
ตรัสว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา, ผู้ใดไม่เห็นธรรม ผู้นั้นไม่เห็น
เรา  แม้จะจับชายจีวรหรือนิ้วมือเราอยู่ก็ไม่เห็นเราตถาคต".  พระวักกลิ
ได้สติขึ้นมา ก็กลับมาทำธุระทางจิตทางใจและได้เห็ความคิดตนเอง.

     อาตมาขอเตือนสักครั้งหนึ่งว่า คำว่าเห็นธรรมนั้นหมายถึงให้
เราเห็นจิตใจของเราในขณะที่เรากำลังทำ-กำลังพูด-กำลังคิด,นั่นแหละ
จึงจะเรียกว่าเราเห็นธรรม. และอาตมากล้ายืนยันได้ว่า ธรรมะตัวชีวิต
จิตใจนี้มีอยู่ในคนทุกคนไม่ยกเว้น  ไม่ว่าจะเป็นหญิง  ผู้ชาย  ภิกษุ
หรือสามเณร  คนชาติไหนภาษาใดนุ่งห่มผ้าสีอะไรก็มีเหมือนกันหมด.
ธรรมะคือการกระทำด้วยกาย-วาจา-ใจ; การทำด้วยกายนั้นคนอื่น
มองเห็นทำด้วยวาจาคนอื่นฟังได้, แต่การทำด้วยใจนั้นคนอื่นไม่
สามารถที่จะมองเห็นได้  จะเห็นได้ก็แต่เฉพาะตนเองคนเดียวเท่านั้น.
เมื่อเป็นเช่นนี้  พระวักกลิเห็นแล้วท่านก็สบายใจ เพราะท่านได้เห็น
พระพุทธเจ้าตัวจริงแล้วคือเห็นตามความเป็นจริง เพราะมีอยู่ใน
คนทุกคน.

     การเห็นเช่นนี้ พระพุทธเจ้าได้ตรัสอุปมาไว้คราวหนึ่งว่าเปรียบ
เหมือนดอกไม้  จะเป็นสีดำสีแดงสีขาวหรือสีอะไรก็ตาม ย่อมพร้อมที่
จะบานได้เมื่อแสงแดดส่องเข้ามาซึ่งอันนี้มันเป็นเรื่องสมมติ.  ที่
อาตมาได้ให้ข้อคิดเป็นเครื่องเตือนจิตสะกิดใจท่านทั้งหลายในขณะนี้
ก็เหมือนกัน  ทุกคนเอาไปใช้ได้ในชีวิตประจำวัน, จะเป็นผู้หญิงผู้ชาย
นุ่งห่มสีอะไรก็ตาม นับถือศาสนาใดก็ตาม เอาไปใช้ได้เหมือนกันหมด
เพราะว่าคนเรามีกายกับใจ. เมื่อใดมองเห็นจิตใจของตัวเองในขณะที่
มันนึกมันคิด แสดงว่าได้เห็นสมุฏฐานหรือต้นเหตุของความคิด, ท่าน
ชี้ให้เราเอาสติเข้ามาดูความคิด แต่อย่าเข้าไปอยู่ในความคิดนั้น  ;
บุคคลใดเห็นได้เช่นนั้นแหละ พระพุทธเจ้าท่านเรียกว่า "ดอกไม้ที่พร้อม
แล้วที่จะบานได้ตามต้องการเมื่อแส่งแดดส่อง". คำว่า "แสงแดด" หมายถึง
คำสอนของพระพุทธเจ้าที่ชี้ลงมาให้เราปฏิบัติทางจิต

     จะทำการงานอะไรก็ให้เอาสติเข้ามาควบคุมอยู่ในความคิดนั้น.บาง
คนยังไม่เอาไปทำก็ได้เหมือนกัน  เพราะยังไม่สนใจ.  เมื่อเราสนใจ,
เรามีความทุกข์, เราต้องพร้อมที่จะเอาไปทำได้. คำสอนของพระพุทธเจ้า
มี ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์นั้น มิใช่มีไว้ให้เราท่องจำแล้วนำไปทำพิธี
รีตองอื่นๆ.  ท่านไม่ได้มีความมุ่งหมายอย่างนั้น.  คำสอนของพระ
พุทธเจ้าไม่ใช่เป็นเครื่องรางของขลังศักดิ์สิทธิ์แต่ประการใด  แต่มีไว้
ให้เรานำไปปฏิบัติเพื่อแก้ทุกข์ทางใจเท่านั้น

     บางคนอาจแย้งขึ้นมาว่า ถ้าไม่มีพิธีรีตองจะเป็นพุทธศาสนาดับ
ทุกข์ได้หรือ, อันนี้เป็นการเข้าใจความหมายที่ไม่ถูกต้อง. เราคงเคย
ได้ยินมาแล้วว่า  ในสมัยพุทธกาล เมื่อพระพุทธเจ้าไปแสดงธรรมให้
ประชาชนฟัง พอเทศน์จบปรากฏว่ามีผู้ได้ดวงตาเห็นธรรมได้กระแส
พระนิพพานตั้งแต่พระโสดาบันบุคคลขึ้นไปก็มีมาก  โดยไม่ต้องไปทำ
พิธีรีตองอะไรนอกจากทำทางจิตทางใจตามที่พระองค์ทรงชี้แนะ. การ
ไปแสดงธรรมที่ไหน ถ้าเราไม่ชี้มาที่จุดนี้ คำพุดนั้นก็เป็นมลทิน.
ทำไมจึงว่าเป็นมลทิน; เพราะว่าไม่ได้ชี้เข้าไปที่จุดซึ่งบุคคลผู้สนใจจะ
ได้นำไปปฏิบัติเพื่อดับทุกข์ดับกิเลสได้และเป็นมลทินเพราะว่าเป็น
การทำลายคำสอนของพระพุทธเจ้า. ดังนั้น ขอให้ท่านทั้งหลายพยายาม
ทำความเข้าใจประเด็นนี้ให้ได้ : ถ้าเราไม่เข้ามาทำที่จุดนี้ ก็ได้ชื่อว่า
เราเองคนหนึ่งที่ยังไม่เข้าใจในคำสอนของพระพุทธเจ้า.


                                       (อุปสรรคประการที่สอง)
     อุปสรรคประการที่สองของการเจริญวิปัสสนาก็คือ : เมื่อเราเริ่ม
เข้าใจในจุดนี้  ได้เห็นจุดนี้แล้ว, เราก็จะสามารถทำลาย ความโลภ-
ความโกรธ-ความหลง หรือ โลภะ-โทสะ-โมหะได้บ้างพร้อมกันนั้น
ก็จะเกิด  "ปิติ"  แฝงตัวเข้ามาด้วย; อย่างนี้พระพุทธเจ้าท่านก็ว่ายัง
ไม่ถูก, ปีตินั้นก็เป็นความมืด เรียกว่า มืดสีขาว. ปีติเกิดเนื่องจากเรา
เกิดความพอใจความภูมิใจว่าเราทำได้. มืดสีขาวนี้น่ากลัวเพราะมองเห็น
ยาก ส่วนมืดสีดำนั้นมองเห็นได้เร็วเพราะมันมืดมันไปไม่ได้. ตัวปีตินี้
เรียกว่า เห็นผิดเป็นถูก : เพราะพอเราทำลายกิเลสได้ เราไม่ได้คอย
จ้องคอยดูอยู่ตรงจุดที่กิเลสถูกทำลาย  แต่เราเข้าไปอยู่ตรงจุดที่ปีติ
เกิดขึ้น. ปีติจึงเป็นอุปสรรคต่อการบรรลุมรรคผลนิพพานขั้นสูงขึ้นไป.
การที่เราเข้าไปอยู่ในปีติก็เท่ากับเราเข้าไปอยู่ในความคิดนั่นเอง, เราคิด
ขึ้นมา-เราเข้าไปอยู่ในความคิด เราจึงมองไม่เห็นความคิด; ดังนั้น
เมื่อเราเข้าไปอยู่ในปีติ เราจึงไม่เห็นปีติ, แล้วก็พอใจอยู่ในปีตินั้น
เท่านั้น. เพราะฉะนั้นพระพุทธองค์จึงสอนให้เราถอนออกจากความคิด
(ทุกประเภท) ที่กำลังคิดนึกอยู่นั้น,ออกมาข้างนอก,แล้วเราจะได้เห็น
ความคิดเรา

     คนที่ยังไม่รู้ไม่เห็นความคิดของตัวเอง เขาก็จะพูดว่าเขารู้ความ
คิดเหมือนกันแต่อันที่จริงเขาไม่เข้าใจว่าความคิดมันคิดไปเรื่อยๆ
แล้วเขาก็เข้าไปอยู่ในความคิด;  คนที่มีปีติหรือติดความสงบในสมถ
กรรมฐานนั่นก็เหมือนกัน, เขาไปติดความสงบ เขาไม่รู้ว่าความสงบ
นั้นเป็นควาหลงผิด เขาก็เลยเข้าไปอยู่ในความสงบนั้น ; เหมือนคน
ที่เปิดไฟฟ้าไม่เป็นก็ไปจับไปหมุนอยู่ทีหลอดไฟจึงไม่ได้แสงสว่าง.ส่วน
คนที่ถอนออกจากความคิดมารู้เห็นความคิดของตัวเอง เปรียบเสมือน
กับคนที่เปิดไฟฟ้าเป็น เขาก็จะเปิดสวิตช์ จึงได้แสงสว่าง. ฉะนั้น เรา
ต้องรู้จักสมุฏฐานของความคิด และทำความเข้าใจกับความคิดน้อยๆ
นี้, แล้วม้นจะมีความสามารถเป็นดังแสงตะเกียงหรือแส่งไฟ ทำความ
สว่างจ้าขึ้นมาภายในจิตใจ เหมือนกับที่เราเปิดไฟฟ้าที่สวิตช์ฉันนั้น.

     เมื่อเรามามองในจิตใจของเราแล้ว ความโกรธความโลภความ
หลงก็จะไม่มี ขณะใดที่เราเผลอเราไม่ได้มอง ความโกรธความโลภ
ความหลงก็จะเข้ามาได้ ทำให้เราหลงผิด. อุปมาเหมือนรถยนต์ที่กำลัง
วิ่งอยู่บนถนน ตรงจุดที่รถวิ่งผ่านไปแล้ว จะมีลมเกิดขึ้นพัดตามหลัง
รถไป ใบใม้ฝุ่นละอองก็จะปลิวตามหลังรถไปด้วย; อันความโกรธ
ความโลภความหลงมันคิดขึ้นมานั้นวูบเดียวเท่านั้น เราก็ทำไปตาม
สิ่งเหล่านั้น, แต่กระนั้นบุคคลผู้นั้นก็ยังพูดว่าเขารู้ความคิดอยู่นั่นเอง
ซึ่งความจริงแล้วเขาไม่ได้เห็นความคิด เพราะเขาเข้าไปอยู่ในความคิด
นั้นเสียเอง.

     พระพุทธองค์ตรัสไว้ว่า  ผู้ใดไม่เห็นความคิดของตัวเองเป็นคน
ประมาท  ความประมาทเป็นพิษร้ายต่อชีวิตของตัวเองเปรียบเหมือน
คนตายแล้ว. นี่แหละที่อาตมาว่าของเหม็น. พระพุทธเจ้าท่านว่า เหม็น
อะไรก็ไม่เหม็นเท่าจิตใจที่สกปรกนั่นเอง. ตัวจิตใจของเราจริงๆ นั้นมัน
ไม่ได้สกปรกมันไม่ได้เป็นมลทินอะไรเลย, เหมือนหลอดไฟฟ้า ไส้ไฟฟ้า
ในหลอดไม่ได้สกปรก เพียงแต่มีฝุ่นละออกมาจับที่หลอดข้างนอกของ
มันเท่านั้น ข้างในยังสว่างเหมือนเดิม, หรือเปรียบเหมือนดวงอาทิตย์
ความสว่างยังเหมือนเดิม แต่เมื่อมีเมฆมาบดบังแสงที่ส่องมายังโลกขณะใด
ก็ทำให้มืดไปเท่านั้น.


                                                            (วิชชา-อวิชชา)
     คนที่ไม่เห็นความคิดเข้าไปอยู่ในความคิดนั้น เรียกว่าอยู่ในวง
ของปฏิจจสมุปบาท, เป็นผู้ไม่รู้. เราคงเคยได้ยินกันมาแล้วว่า : อวิชชา
เป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร, สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ, วิญญาณเป็น
ปัจจัยให้เกิดนาม-รูปนาม-รูปเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะอายตนะ
เป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนาเวทนาเป็น
ปัจจัยให้เกิดตัณหาตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทานอุปาทานเป็น
ปัจจัยให้เกิดภพภพเป็นปัจจัยให้เกิดชาติชาติเป็นปัจจัยให้เกิดชรา
มรณะ  ทุกข์  ฯลฯ ; มันเป็นวงไป. "อวิชชา"  แปลว่าผู้ไม่รู้ : ที่เราว่า
เรารู้ แต่เราไม่ได้เห็นจิตเห็นใจของเรานั้น เราเข้าไปอยู่ในความคิด
ของเราต่างหาก. ส่วนคำว่า "วิชชา" หมายถึง ผู้รู้ - คือ เห็นความคิด
ของตัวเอง : พอคิดขึ้นมา-เราเห็น-มันหยุด, เหมือนแมวกับหนู.  ถ้า
บ้านเราไม่มีแมว หนูมันก็ไม่กลัวแต่พอเราเอาแมวมาเลี้ยงไว้ พอหนู
โผล่ออกมาแมวก็จับ พอแมวจับ หนูมันตกใจมันขาดใจตาย แม้แมว
จะไม่ได้กัดมัน ๆ ก็ตายได้  เพราะตกใจเนื่องจากมันไม่เคยถูกแมวจับ.
อันนี้ก็เหมือนกับที่เราจดจ้องดูความคิดดูจิตดูใจของเราพอคิดมา-
รู้ทัน-มันจะหยุดชะงักทันที  มันไม่สามารถปรุงแต่งต่อไปได้  เรียกว่า
"วิชชา"  คือรู้เท่า-รู้ทัน-รู้จักกัน-รู้จักแก้-รู้จักเอาชนะได้  เหมือนแมว
กับหนูนั่นเอง.

     ดังนั้น การฟังคำสอนของพระพุทธเจ้า ถ้าเราไม่พิจารณาแล้วเรา
จะไม่เข้าใจ  เราจะเอาคำสอนไปถกเถียงไปโต้วาทีกัน เอาความรู้มา
แข่งขันกัน  ซึ่งไม่ถูกต้องถ้าใครเรียนแล้วนำความรู้มาใช้เป็นเครื่องมือ
คอยประหารกิเลสหรือแก้ทุกข์  อย่างนี้จึงจะถูกต้องตามพุทธประสงค์.
ทุกวันนี้  เราเรียนเป็นนักธรรมตรีโทเอกเป็นมหาเปรียญกัน  เป็นถึง
เปรียญ  ๙  ก็มี  บางท่านอาจจะได้ดูความคิดของตัวเอง  แต่บางท่าน
อาจจะไม่เคยดูเลยก็ได้  ผู้ใดที่เรียนมาแล้วไม่เคยเห็นความคิดของ
ตัวเองนั้น  ท่านว่าเหมือนกับมอดที่เจาะหนังสือกิน.  ทางฝ่ายโลกก็
เช่นเดียวกัน  เรียนประถมมัธยมเรียนจนจบปริญญาตรีโทเอกจบ
ดอกเตอร์  แต่ยังไม่เคยดูจิตดูใจตัวเอง  เคยรู้แต่ของคนอื่น  ของ
ตัวเองไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น  อย่างนี้ในทางพุทธศาสนาไม่ถือว่าเป็น
บัณฑิต  เพราะความรู้เหล่านั้นมีประโยชน์ทางโลกเพียงอย่างเดียว
ไม่ได้มีประโยชน์ทางจิตใจ.  เมื่อเราเรียนได้ปริญญาโทเอกแล้ว เรา
ควรเอามาจัดการกับข้างในของเราด้วย คือการกำจัดกิเลส ทั้งกิเลส
อย่างหยาบ  อย่างกลางและอย่างละเอียด.


                                                (การทวนกระแสความคิด)
     พวกเราคงเคยได้ยินได้ฟังกันมาแล้วว่า พระพุทธเจ้าทรงเคย
ปฏิบัติโดยวิธีทรมานพระองค์มาก่อน  แล้วทรงเห็นว่าเป็นวิธีที่ผิดจึง
ได้เลิกทำทุกรกิริยา  และต่อมาก็ทรงฉันข้าวที่นางสุชาดาจัดมาถวาย
พระองค์ทรงถามนางว่า  จะถวายเฉพาะข้าวหรือถวายรวมทั้งถาดและ
ขันด้วย  นางก็ตอบว่าถวายทั้งหมด  เมื่อพระองค์ฉันเสร็จแล้วจึงเอา
ขันไปอธิษฐานที่ริมแม่น้ำว่า  ถ้าพระองค์จะได้บรรลุธรรม  ขอให้ขัน
ที่วางลงบนผิวน้ำลอยทวนกระแสของน้ำขึ้นไป, ฯลฯ  ข้อความเหล่านี้
เป็นบุคลาธิษฐาน  คือเอาสิ่งที่เป็นรูปธรรมเป็นข้อเปรียบเทียบเท่านั้น
ไม่ใช่พระพุทธเจ้าเอาขันไปลอยน้ำแล้วขันลอยทวนกระแสของน้ำ
ขึ้นไปจริงๆ ;

     "ถาดขัน" ในที่นี้ก็คือ "ธาตุขันธ์" คือจิตใจ, "น้ำ" คือกิเลสการ
บำเพ็ญทางจิตของพระองค์เป็นการกระทำที่ยาก  เปรียบได้กับ "การ
ทวนกระแสน้ำ"  คือพระองค์ไม่ได้ปล่อยจิตใจไปตามกิเลส,  "กระแส
น้ำ" คือกระแสความคิด; การไปตามกิเลสนั้นง่าย, ทุกคนไปตามกิเลส
อยู่แล้วจึงได้รับแต่ความทุกข์พระองค์ได้ปฏิบัติโดยทวนกระแสของ
กิเลสเพื่อดับทุกข์  โดยการเฝ้าดูจิตใจ  เห็นจิตใจของพระองค์เองที่
กำลังนึกกำลังคิด, พอคิดขึ้นมา มันอยากทำตามที่ตาเห็นจมูกได้กลิ่น
ลิ้นได้รสกายถูกสัมผัส  ฯลฯ  พระองค์เห็นว่าความคิดนั้นเป็นกิเลส
การปฏิบัติ  พระองค์ก็ทวนกระแสของความคิด คือไม่ทำไปตามความ
คิดที่อยากจะทำพระองค์ปฏิบัติอย่างนี้แหละญาณจึงได้เกิดมีขึ้นใน
พระองค์และได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า.  สิ่งที่พระพุทธเจ้าชี้
บอกให้พวกเราปฏิบัติ คือ ให้เอาสติมากำหนดรู้ความคิด มาคอยดู
ที่จิตที่ใจของตัวเองคิดอะไรขึ้นมาต้องรู้ต้องเข้าใจ มันจะได้ไม่ถูก
ปรุงแต่งต่อไป, พอคิดอะไรวูบขึ้นมา เราก็เอาสติเข้าไปดู ความคิดนั้น
ก็จะหยุดเอง.

     ในการปฏิบัติธรรมะ สิ่งที่ควรระวังคือความรู้ที่รู้ออกนอกตัวไป,
ความรู้ชนิดนั้น ได้แก่ วิปัสสนูปกิเลส. เมื่อเรามีความรู้อย่างนั้น
มันจะเกิดปีติดีใจขึ้นมา,  ปีตินี้เรียกว่ามึดสีขาว เป็นความรู้ที่ผิด.  เรา
อย่าไปติด "ปีติ".

     เมื่อปฏิบัติไปจนถึงที่สุด จนได้เห็นความคิดของเราเอง  เห็น
ไปถึงสมุฏฐานต้นเหตุของความคิด นั่นคือได้เห็น  "อาการเกิดดับ",
มันขาดสูญออกไป;  อาตมาเคยเปรียบเทียบให้ฟังว่า เหมือนกับเอา
เชือกมาผูกปลายสองข้างดึงให้ตึงแล้วเอามีดตัดตรงกลาง  เชือกจะขาด
ออกจากกัน  จะดึงมาให้ถึงกันอีกไม่ได้  คือจะใช้งานต่อไปอีกไม่ได้.
กล่าวในทางอายตนะ  ๑๒  ก็เหมือนกัน. เช่นที่กล่าวกันว่า  ตาเห็นรูป
หูได้ยินเสียง ฯลฯ ก็ให้สักแต่ว่าเห็นสักแต่ว่าได้ยิน  อย่าไปปรุงแต่ง
ว่าสวยไม่สวยดีไม่ดี  เสียงเพราะเสียงไม่เพราะ เสียงผู้หญิงเสียงผู้ชาย
ให้เพียงแต่เห็นหรือได้ยินเฉยๆอันนั้นยังเป็นคำพูด. ส่วนการปฏิบัติ
นั้นเราต้องดูเข้าไปให้เห็น ให้มันขาดออกจากกันไปเลย เมื่อมันขาดออก
จากกันแล้วมันจะไม่ปรุงแต่งต่อไป อายตนะนั้นก็ไม่สามารถจะเข้าถึง
กันได้อีก.


                                                      (สะอาด, สว่าง, สงบ)
     คนเรามีจิตใจที่สะอาด-สว่าง-สงบอยู่แล้ว,  "สะอาด"  แปลว่า
จิตใจไม่สกปรก คือ ไม่มีกิเลส,  "สว่าง"  แปลว่ามีปัญญา เห็นชีวิต
จิตใจของตัวเอง,  "สงบ"  แปลว่าหยุดแล้ว  ไม่มีอะไรที่จะมาต่อเติมได้
อีกแล้ว




พิมพ์โดย  คุณ ชัยพัทธ์ โพธิสาร