ผล คือ การอยู่เหนือโลก

ผล คือ การอยู่เหนือโลก

        ขอย้ำให้ฟังด้วยความจริงใจและด้วยสติปัญญาจริงๆ ว่า  พระพุทธเจ้าเคยตรัสไว้ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา", ก็คือเห็นตัวเราเองนี่แหละ เห็นจิตเห็นใจตัวเองนี่แหละ, ธรรมะก็คือตัวเราเองนี่แหละ. การเห็นตัวเรากำลังทำ-กำลังพูด-กำลังคิดนี่แหละเรียกว่าเห็นตัวเรา ส่วนเห็นจิตเห็นใจนั้นอาจจะลึกลงไปอีก: ให้เข้าใจอย่างนี้, ถ้าเข้าใจผิดไปจากนี้จะไม่เป็นสัมมาทิฏฐิตามแบบของพระพุทธเจ้า. การที่ให้ดูจิตดูใจนั้นก็เพราะจะได้เห็นว่า บางทีจิตใจของเราก็เข้าไปในความคิด, เมื่อเข้าไปในความคิดมันก็ปรุงเรื่อยไป. สิ่งที่พระองค์สอนก็คือว่า เมื่อเห็นความคิด, หรือเมื่อมันคิดขึ้นมา ให้สลัดความคิดทิ้ง มาตั้งสติดูมัน: อันนี้เรียกว่า "วิชชา" "ปัญญา"



        ส่วนคำว่า "อวิชชา" แปลว่า "ความไม่รู้" : แต่ไม่รู้ในที่นี้ไม่ใช่ไม่รู้จะกินข้าวยังไง จะอาบน้ำยังไง ไม่ใช่ไม่รู้อย่างนั้น, อันนั้นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหากออกไป ไม่ใช่เรื่องนี้, คำว่าอวิชชานี้ คือ ไม่รู้จักสมุฏฐานที่เกิดของทุกข์ พระพุทธเจ้าท่านสอนอย่างนี้ว่า :- อวิชชาเป็นปัจจัยให้เกิดสังขาร, สังขารเป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณ, วิญญาณเป็นป้จจัยให้เกิดนามรูป, นามรูปเป็นปัจจัยให้เกิดอายตนะ, อายตนะเป็นปัจจัยให้เกิดผัสสะ, ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา, เวทนาเป็นปัจจัยให้เกิดตัณหา.ฯ  เกิดอุปทาน. ฯ  เกิดภพ. ฯ  เกิดชาติ. ฯ  เกิดชรามรณะ.ฯ  เกิดทุกข์: เวียนกันไปจนครบรอบ
เป็นปัจจยาการเรียกว่า "ปฏิจจสมุปบาท"

       ทีนี้มามองอีกด้านหนึ่งบ้าง คือ "วิชชา" แปลว่า "รู้" อาจมีคำถามว่า รู้อะไร  ก็ รู้ความคิด นั่นแหละ, คือ เมื่อมันคิดขึ้นมาปุ๊บ-ความคิดนั้นถูกเห็น, หรือติดกับ เหมือนแมวกับหนู, หัวใจของเรื่องก็คือ เมื่อเราเห็นความคิดของตัวเอง มันจะเกิดการหยุดชะงัก, มันไม่ปรุง; อันนี้เรียกว่าวิชชา. แต่ถ้ามันคิดขึ้นมาเป็นเรื่องเป็นราวไปนั้น อันนั้นเป็นเพราะเราเข้าไปในความคิด, จึงเป็นความคิดของอวิชชา, ส่วนอันนี้เป็นวิธีจะดับทุกข์. พระพุทธเจ้าท่านสอนให้เรารู้จัก "วิธีดับทุกข์" และ "ต้นเหตุของทุกข์", ที่มาของทุกข์ดับมันให้ได้ ถ้าดับไม่ได้เหมือนคนนั้นกลัวตาย, แต่ถ้าผู้ใดดับทุกข์ได้แล้วพระพุทธเจ้าทรงตรัสเรียกว่าเป็นคนที่อยู่เหนือโลก. "เหนือโลก" ในที่นี้ไม่ใช่อยู่บนฟ้าบนสวรรค์หรืออะไรอย่างนั้น แต่หมายถึงอยู่เหนืออารมณ์อยู่เหนือความทุกข์, ความทุกข์รบกวนไม่ได้นั่นเอง ทำงานทำการอย่างไม่มีทุกข์. แต่ว่าอยู่เหนืออารมณ์ เช่น ใครจะพูดอย่างไรเราก็ฟังได้ พูดผิดพูดถูกเราก็ฟังได้ การงานของเราเราทำได้ตามหน้าที่, อย่างนี้เรียกว่าคนอยู่เหนือโลก.

       พระพุทธเจ้าของเราเป็นพระอรหันต์ตรัสรู้ดับทุกข์ได้ดับกิเลสได้แล้ว พระองค์ก็ยังเดินเหินกินข้าวอย่างเราๆ นี่เอง. แต่ที่เราคิดกันไปเองกลับเข้าใจไปผิดๆ ว่าคนดับกิเลสต้องไม่อยู่แบบนี้ หรือเข้าใจไปว่าเงินหรือรถยนต์เป็นกิเลสไปเสีย, การเข้าใจเช่นนี้มันผิด. อันที่จริงเราต้องยอมรับว่า คนขยันรู้จักเก็บออมสะสมเขาก็ต้องมีเงินต้องมีรถยนต์, ส่วนคนขี้เกียจขี้คร้านไม่มีสิ่งของอะไรเสียเลย จะถือว่าหมดกิเสสอย่างนั้นไม่ได้ มันไม่ใช่อย่างนั้น. คนขี้เกียจไม่ใช่คนดีหรือได้น้อยจ่ายมากก็ไม่ใช่คนดี. พระพุทธเจ้าท่านสอนให้คนทุกคนขยันหมั่นเพียร ท่านพูดถึง "ขันติ" คือความอดทน "โสรัจจะ" ความสงบเสงี่ยม, ท่นสอนให้รักษาให้หา, แต่ก็ไม่ใช่ว่าให้หาแล้วเอาไปเล่นไม่ใช่อย่างนั้น, ท่านสอนทุกแง่ทุกมุม ให้หลีกห่างอบายมุข ซึ่งพวกท่านคงรู้ดี, อบายมุขนั้นเป็นปากทางลงไปสู่ความพินาศฉิบหาย.