ภาคต้นของการปฎิบัติ

ภาคต้นของการปฎิบัติ
(ผล-เลิกละความหลงผิด)

(รู้ให้จริงๆ รู้แจ้ง-รู้จริง)

       ที่ผมนำมาเล่าสู่ฟังนี้ ผมรู้จำมาจากพ่อแม่ครูบาอาจารย์, ท่านเล่าสู่ฟังก็จำมา. พ่อผมเล่าให้ฟังตั้งแต่สมัยผมเป็นเด็กน้อย ไปนอนนากับพ่อผม ท่านเล่าให้ฟังว่า พระพุทธรูปทุกองค์มีจิตวิญญาณของพระพุทธเจ้าเข้าไปแทรกไปสิงอยู่ขนาดเท่าเมล็ดงา จะเป็นพระไม้พระเงินพระทองพระอิฐพระปูนก็ตาม หรือจะเป็นพระแก้วพระอะไรก็ช่างหรือจะเป็นพระธาตุ-ธาตุพนม ธาตุอุเทน ธาตุเกศแก้วจุฬามณี ธาตุอะไรก็ตาม ฯลฯ จะมีดวงวิญญาณของพระพุทธเจ้าเข้าไปเกาะหมดทุกธาตุ, เมื่อพุทธศาสนาล่วงไปถึงห้าพันปีแล้ว จะมืดเจ็ดวันเจ็ดคืน พระพุทธรูปพระธาตุเหล่านั้น จะเหาะไปรวมตัวกัน รวมที่ไหนผมก็จำไม่ได้, แล้วธาตุเหล่านั้นและพระพุทธรูปเหล่านั้นจะแตกผางออก ดังไปไกลเหมือนเสียงปืน แล้วจิตวิญญาณที่มีอยู่ในนั้นก็จะมารวมกันเข้าเป็นคน, เป็นรูปเจ้าชายสิทธัตถะ, แล้วออกมาแสดงธรรมให้คนฟังเจ็ดวันเจ็ดคืน, ผู้มีโอกาสไปฟังธรรมนั้นที่เป็นผู้มีปัญญามากก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระอรหันต์ได้นิพพานพร้อมพระพุทธเจ้า ส่วนผู้มีปัญญาแต่น้อย ซึ่งเปรียบเหมือนข้าวเมล็ดเล็กข้าวผอมยังไม่เต็มสมบูรณ์ดีเหมือนพวกแรก ก็จะได้เป็นพระอนาคามี พระสกิทาคามี หรือพระโสดา ตามกำลังสติปัญญาตามลำดับแห่งตน ส่วนบางคนนั้นฟังไปก็จะไม่รู้จักอะไรเลย ; ท่านว่าอย่างนั้น.


       ผมเคยมีความคิดเอาไว้ว่า ที่เกิดมาในชาตินี้ก็ขอให้ข้าพจ้ำได้พบกับพระพุทธเจ้าในยุคห้าพันปีนั้นแหล่ะ, ผมทำบุญให้ทานรักษาศีล แม้จะทุกข์ยากอย่างไรก็ทำและนึกอยู่ในใจอยู่แต่อย่างนั้น. พ่อของผมท่านได้เล่าสู่ฟังด้วยว่า ตอนที่มืดเจ็ดวันเจ็ดคืนในสมัยศาสนาพุทธล่วงห้าพันปีนั้น มันมืดมิดจนมองไม่เห็นอะไรเสียเลย ไม่รู้ว่าใครเป็นใครไม่รู้พี่รู้น้องรู้เครือญาติ อาหารการกินก็ขาดแคลน ต่างก็ไม่ได้กินข้าวไม่ได้กินน้ำ มีอะไรมาก็ฆ่ากันแย่งชิงรุมกินกัน พ่อจะกินลูกๆ จะกินพ่อ ผัวจะกินเมียๆ จะกินผัว, นี่เป็นเรื่องที่คนแต่ก่อนเก่าเล่าสู่กันฟังมา.

       อันนี้แหล่ะ, เมื่อผมไปเจริญสติตามแบบวิธีที่ผมเอามาสอนนี้(หมายถึงการเจริญสติโดยวิธีเคลื่อนไหว) ผมก็เลยรู้จักสิ่งเหล่านี้ (สิ่งเหล่านี้ หมายถึง เรื่องนิทานที่กล่าวมาแล้วนั้นโดยนัยตามที่เป็นจริง, ท่านก็เลยรู้จัก อันเป็นผลมาจากการปฏิบัติ.) ; แต่ก่อนผมไม่รู้จัก. ทำบุญก็ไม่รู้จักบุญ, ไม่รู้จักจริงๆ, นึกว่าตายแล้วจะไปเกิดบนสวรรค์ชั้นฟ้า ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้นผมไม่รู้จักจริงๆ ; แต่ก่อนเป็นอย่างนั้น.

       จนกระทั่งผมาเจริญสติ : พลิกมือขึ้น ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ ; คว่ำมือลง ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ ; ทำอยู่อย่างนั้นแหล่ะ, ฯลฯ ;  กะพริบตา หายใจเข้า หายใจออก ให้มีสติเข้าไปรู้ ; จะเข้าสั้น-ออกยาวก็ให้สติกำหนดรู้เฉยๆ เท่านั้น ไม่ต้องพูดไม่ต้องบริกรรมหรือกำหนดคำขึ้นมาว่าอะไรทั้งนั้น, เอียงซ้าย เอียงขวา ก้ม เงย คู้ เหยียด เคลื่อน ไหว ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ในอิริยาบถนั้นๆ เลยเกิดความรู้มีปัญญาขึ้นมา, เลยรู้จักรูป รู้จักนาม ;  ซึ่งแต่ก่อนผมไม่รู้ว่ารูปนามเป็นอย่างไรแน่ รู้เพียงรู้จำมาเฉยๆ ไม่รู้จักจริงๆ และแต่ละอันก็ต่างกันด้วย คือ : รู้จำ, รู้จัก, รู้แจ้ง, รู้จริง ; ซึ่งเป็น “การรู้” จริงๆ.


(ผลของการปฏิบัติภาคต้น คือ รู้ขั้นรูป-นาม)
ผมขอยืนยันว่า การเจริญสติแบบนี้ทำให้ผมรู้รูป-รู้นาม. รูป-นาม มันติดกันอยู่. ผมจะเล่าให้ฟัง. ก่อนที่ผมจะรู้สิ่งนี้ผมกำลังนั่งพลิกมืออยู่ มีแมงงอด(แมงงอด คือ ภาษาถิ่นที่ใช้เรียก แมงป่อง) แม่ลูกอ่อนตกใส่ขาผม ผมนุ่งกางเกงขาสั้น, สมัยนั้น ผมยังเป็นฆราวาสอยู่. ปกติ ถ้ามีอะไรตกใส่อย่างนั้น ผมต้องปัดกระเด็นเลย, แต่คราวนั้น ผมไม่ได้ปัด ดูอยู่เฉยๆ ; ลูกแมงป่องก็วิ่งกระจายไปบนขาผม ; เลยเห็น, แมงป่องเป็นรูปเป็นนาม ขาเราก็เป็นรูปเป็นนามเช่นกัน ก็เลยรู้จักรูป-รู้จักนาม. รูป-นาม, ก่อนหน้านี้ผมก็รู้ คือ รู้ว่า รูปังอนิจจัง-รูปไม่เที่ยง เวทนาอนิจจา-เวทนาไม่เที่ยง ฯ สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง ฯลฯ, ผมบวชเป็นเณรอยู่ปีกับหกเดือนแล้วก็มาบวชเป็นพระอีกหกเดือน มันก็รู้เพียงแค่นี้ ; รู้จำ, จำมาได้ แต่ก็ยังไม่รู้จัก ไม่รู้แจ้ง ไม่รู้จริง. ส่วนตอนที่ผมรู้สิ่งนี้ ผมมองเห็นเลยว่า การคว่ำมือลงเป็นรูปเป็นนาม, ฯลฯ.

ต่อจากนั้น ผมก็รู้จัก รูปทำ-นามทำ. ธรรมะนั้น จึงคือตัวคนเรานี่เอง, ทำดี-ทำชั่ว เป็นตัวเรานี้.

แล้วผมก็รู้จัก รูปโรค-นามโรค.  รู้จักว่า รูปโรค-นามโรค มี 2 อย่าง : รูปหรือกายเรานี้เมื่อเป็นโรค เช่น เจ็บหัวปวดท้องเป็นตุ่มเป็นฝีหรือเป็นอะไรก็ตามเถอะ เมื่อเป็นมันก็เจ็บนามหรือใจนั่นแหล่ะเจ็บ : รูปกับนามนี้ ถ้ารูปเป็นแล้วใจมันก็เป็นด้วย นี่คือ รูป-นามเป็นโรค ; รูปโรค-นามโรคอย่างนี้ ถ้าเป็นต้องไปหาหมอให้ยารักษา, ส่วนรูปโรค-นามโรคอีกชนิดหนึ่งนั้นเรียกว่า “จิตวิญญาณเป็นโรค” คือ ร่างกายสบายดีกินข้าวได้นอนหลับ แต่พอมีผู้หนึ่งผู้ใดมาว่าให้ก็เกิดพอใจไม่พอใจ ; รูปโรค-นามโรคชนิดนี้ต้องเข้าหาธรรมะ, ชั้นนี้ผมรู้จักแค่นี้ก่อน.

จากนั้น ผมมารู้จัก ทุกขัง-อนิจจัง-อนัตตา. การพลิกมือขึ้น-คว่ำมือลงนี่ เป็น “ทุกข์”, กะพริบตา หายใจเข้า-หายใจออก ก็เป็นทุกข์, คิดอะไรก็เป็นทุกข์ทั้งหมด. อันนี้, ทุกขัง-อนิจจัง-อนัตตาที่ผมรู้จัก มันเป็นอย่างนี้. “ทุกขัง” มันติดอยู่กับรูป, “อนิจจัง” ก็ไม่เที่ยง, “อนัตตา” ก็หมายถึงบังคับบัญชาไม่ได้ มันเปลี่ยนแปลงไปอยู่อย่างนั้นของมันเอง. สมมติว่าเราเป็นก้อนเนื้อก้อนหนึ่ง, อันนี้แหล่ะ มันเป็นก้อนทุกข์ทั้งก้อน-ว่ากันอย่างนี้เลย, ให้เรารู้จักมันเสีย. เมื่อตอนผมเห็นอยู่อย่างนี้ ผมได้พิจารณาไปถึงสภาพที่ท่านว่า ผมหงอก ฟันหัก หรือเจ็บหลังปวดเอวเมื่อนั่งนานๆ ฯลฯ เป็นตัว “ทุกขัง” นั้น, ผมว่ามันไม่ใช่ “ทุกขัง” ตัวนี้, อันนั้นมันเป็น ทุกขเวทนา ทุกข์โศกโศกาทุกข์รำพันเฉยๆ, มันไม่ใช่ตัว “ทุกขัง-อนิจจัง-อนัตตา”. มันรู้จักหมด. ตัวทุกขัง-อนิจจัง-อนัตตานั้น คือ ตัวอิริยาบถนี่แหล่ะ, ผมรู้จักอย่างนี้.

นี่แหล่ะ! จึงมาคำนึงคำนวณตามตำรับตำราที่พ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่ท่านสอนให้ว่า : ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ในตัวอิรอยาบถทั้งสี่ คือ ยืน-เดิน-นั่ง-นอน, ยืน ให้มีสติกำหนดรู้ : เดิน ให้มีสติกำหนดรู้ นั่ง ก็ให้มีสติกำหนดรู้ :  นอน ให้มีสติกำหนดรู้, เท่านี้ท่านยังว่าไม่พอ, ท่านยังสอนให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ในอิริยาบถย่อย คือ คู้-เหยียด-เคลื่อนไหว, จะโดยวิธีใดก็ตามก็ให้มีสติเข้าไปกำหนดรู้ในอิริยาบถนั้นๆ ทุกอิริยาบถ.  สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ การมีสติเข้าไปกำหนดรู้นี่แหล่ะ, อะไรเกิดขึ้นก็จะเห็น-จะรู้-จะเข้าใจ-นี่เป็นสิ่งที่ผมรู้มา. ในการปฏิบัตินั้นต้องพยายามอย่าให้ขาดช่วงตอน มีจังหวะติดต่อกันอยู่ตลอดเวลาต้องเจริญสติอยู่ตลอดเวลา ให้มีสติกำหนดรู้อยู่ตลอดเวลา, อย่าเป็นคนชอบพูดชอบคุย.
เมื่อรู้จัก ทุกขัง-อนิจจัง-อนัตตา แล้ว, ผมก็รู้จัก สมมติ. สมมติผี สมมติเทวดา สมมตินรก สมมติสวรรค์ ฯลฯ, สิ่งที่สมมตินี้ ให้รู้จักให้ครบให้จบให้ถ้วน การบวชการสึกนี้ก็สมมติ พระพุทธรูปนี้สมมติ, ผมรู้จักหมด นี่สมมติ. เมื่อรู้จักอย่างนี้แล้ว ผมก็เลยรู้จักศาสนา.  ศาสนาแปลว่าคำสอน, สอนเข้าหูคน. ตัวศาสนาจริงๆ นั้น คือ ตัวคนทุกคน. สมมตินั้นมีมาก, จึงว่า-ให้รู้ให้ครบให้จบให้ถ้วน. ศาสนานั้นแต่ก่อนผมก็เข้าใจว่าคือโบสถ์คือพระพุทธรูปคือตัวหนังสือ, เข้าใจไปอย่างนั้น แต่เมื่อผมมาปฏิบัติวิธีนี้ ผมจึงรู้ว่าตัวศาสนาที่แท้จริงคือคน ส่วนพุทธศาสนา คือตัวสติ-สมาธิ-ปัญญา. ตัว “รู้” นั่นแหล่ะ ตัว “พุทธะ” พุทธะ จึงแปลว่า ผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบาน, ผมรู้จักอย่างนี้.

จากนั้นแล้ว ผมก็รู้จัก บาป รู้จัก บุญ. บาปคือโง่ คือ มืด หรือ หนักอกหนักใจ บาปคือไม่รู้จักอะไรนั่นแหล่ะ ใครจะพูดอะไรก็เชื่อไปตะพึดตะพือ คือ เชื่อหมด. อันนี้แหล่ะ เรียกว่าบาปอย่างแท้จริง, ผมเข้าใจอย่างนี้  ส่วนบุญคือรู้จัก คือเบา บุญคือดีใจหรือรู้แล้วดีใจ บางทีเอาอะไรไปพูดให้ฟังเขาก็ไม่เชื่อ. อันนี้, มันเป็นเรื่องสมมติ ผมรู้หมด, คือ ที่พ่อผมพูดให้ฟังว่าในองคฺพระพุทธรูปมีดวงจิตวิญญาณไปเกาะอยู่เท่าเมล็ดงา ซึ่งความจริงก็คือตัวคนเราทุกคนนี้เองจะเป็นผู้หญิงผู้ชายก็ตาม จะนับถือศาสนาใดก็ตาม ย่อมมีดวงจิตวิญญาณที่สามารถจะทำให้เป็น “ผู้รู้” ได้เช่นกันหมด หากว่าได้เจริญสติอย่างถูกต้องจนสติเติบโตสมบูรณ์เข้มแข็ง. นี้แหล่ะคืออานิสงส์ของการเจริญสติ, มันรู้มาอย่างนี้, ไม่ใช่อานิสงส์คือมีลักษณะมีคุณมีค่าในการไปหาเงินหาทองไม่ใช่อย่างนั้น. อันนี้เรียกว่า จบภาคต้น.


(วิปัสสนูปกิเลสเป็นผลด้านลบ)
       เมื่อรู้อันนี้เรียบร้อยแล้ว1 จะเกิดความรู้อันหนึ่งขึ้นมา, รู้อันนั้นรู้อันนี้ไปหมดจนเจ็บหัวคือ “อันใด” ขึ้นมา ก็แจ้งจางปางหมด คิดว่าไปแสดงให้ใครฟังเป็นต้องเชื่อหมด, รู้แล้วมันเกิดปีติเกิดดีใจขึ้นมา, มันหลง, มันไม่ได้ดูรูปนามแล้ว แต่ไปหลงติดความรู้ที่รู้. ความรู้อันนี้เป็นความรู้ของ วิปัสสนูปกิเลส,
---------------------------------------------
1 ท่านหมายถึงการรู้ทั้งหมดตามที่กล่าวมา, ซึ่งเป็นการรู้ขั้นรูป-นาม, ประกอบด้วยรู้รูป-รู้นาม รู้รูปทำ-รู้นามทำ รู้รูปโรค-รู้นามโรค รู้ทุกขัง-อนิจจัง-อนัตตา รู้สมมติ รู้ศาสนา-รู้พุทธศาสนา รู้บาป-รู้บุ. ตามลำดับ.
แต่ว่าในขณะที่เป็นวิปัสสนูฯ อยู่นั้นผมไม่รู้. อุปมาเหมือนคนกินเหล้าเมาจะไม่ฟังเสียงใคร ยืนยันว่าตัวเองไม่เมา ยิ่งกินยิ่งเมานะคนกินเหล้านี่. คนเป็นบ้าก็เหมือนกัน มีใครห้ามว่าอย่าไปยิ่งไป อย่าพูดยิ่งพูด หากมีใครจะพาไปโรงพยาบาลไปหาหมอกลับไม่อยากไปเพราะไม่รู้ว่าตัวเองบ้า. ดังนั้น คนเป็นวิปัสสนูปฯ ยิ่งเป็นก็ยิ่งพูดยิ่งเทศน์ยิ่งแสดงแต่ผู้เดียว ผมเดินอยู่ก็พูดอยู่คนเดียวไปยืนอยู่ก็พูดอยู่คนเดียว, นึกพูดในใจไม่ออกเสียง มันพูดอยู่ในใจ, นั่งทำจังหวะอยู่มันก็พูดอยู่คนเดียว ; อันนี้เป็นความรู้ของวิปัสสนูปกิเลส. ในขณะนั้น ผมไม่รู้จัก. อันนี้ เหตุของมันเป็นอย่างนั้น.

       ดังนั้น จึงว่า ผู้ใดจะเป็นอย่างไรก็ตาม จะเห็นสีเห็นแสงเห็นผีเห็นเทวดาอย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ทั้งหมดเลย. ผมทำมาแล้ว รู้เห็นแล้วเรื่องพวกนี้. จึงกล้าพูดได้ว่า ผมไม่เชื่อใครทั้งหมด. แต่ตอนนั้นผมยังไม่รู้จัก, ผมเดินจงกรม เดินไปเดินมาเกิดเห็นตัวเลข เห็นชัดจริงๆ, เอาละสิ ดูสิ, เพราะใจมันนึกมันคิดไป แล้วเราไม่เห็นจิตเห็นใจของเราก้าวไปก้าวมากลับเห็นตัวเลขตัวใหญ่ๆ โตเท่าฝ่ามือนี่แหล่ะอยู่ที่ฝา เดินไปก็เหลียวมองไปเห็น ยังตัดสินใจว่าจะไปซื้อเลขจะไปเอารางวัลที่หนึ่ง, นี่! มันเป็นอย่างนั้น. ทีนี้เห็นกระดูกตัวเอง ไกวไปไกวมา, เห็นไปร้อยอันพันอย่าง. แต่ยังดีที่ผมยังมีสติ คือแทนที่จะไปซื้อเบอร์หวยผมกลับนั่งลง แล้วเอาตีนชี้ไปที่เลขนั้น-ว่าไม่จริง ส้นตีนเรานี่สิของจริง ปรากฏว่าตัวเลขนั้นหายวับไปเลย, มันเป็นเองครับเรื่องเหล่านี้. การเจริญสติต้องอย่าให้ขาดช่วง อย่าหยุด ให้ตั้งอกตั้งใจ.

       ที่ผมเล่าให้ฟังนี้ เป็นการเตือนนะครับ, รู้อะไรๆ ก็ตาม อย่าเอาไปจับมาเป็นอารมณ์. ให้มารู้รูป-รู้นามนี้ มารู้รูปทำ-นามทำนี้, ธรรมะคือตัวเรานี้, แล้วมารู้รูปโรค-รู้นามโรค รู้ทุกขัง-อนิจจัง-อนัตตา รู้สมมติ รู้ศาสนา-รู้พุทธศาสนา รู้บาป-รู้บุญ, หมดกันเท่านี้ : อารมณ์นี้ชื่อว่าเป็นอารมณ์ของวิปัสสนา เป็นอารมณ์ขั้นรูป-นาม, นอกนั้นไม่ใช่ทั้งหมด ที่รู้ออกนอกตัวไปนั้นไม่ใช่ทั้งหมด. จะรู้อะไรก็ตาม ต้องคิดว่าไม่ใช่, ผมปฏิเสธได้อันนี้, นี่! เล่าให้ฟังแล้วนะว่าผมปฏิเสธแล้ว. เห็นแล้วให้ปล่อยมาจับความรู้สึกตัว : ผมเข้าใจอย่างนี้.