เจริญสติให้ถูกตรงย่อมได้รั
ตามตำรับตำราหนังสือเขียนไว้ว่า - ผู้ใดเจริญสติปัฏฐานสี่อย่างถูกต้อง และทำให้ติดต่อกันเหมือนลูกโซ่ อย่างนานไม่เกิน ๗ ปี , อย่างกลางไม่เกิน ๗ เดือน , อย่างเร็วไม่เกิน ๑-๑๕ วัน; ย่อมได้รับอานิสงส์ ๒ ประการ คือ (๑) เป็นพระอรหันต์ (๒) เป็นพระอนาคามี ในปัจจุบันภพนี้ชาตินี้
ส่วนการเจริญสติแบบที่อาตมาพูดนี้ ถ้าทำจริงๆ แล้วอย่างนานไม่เกิน ๓ ปี จะเกิดความรู้ความเข้าใจ ความทุกข์ก็จะลดน้อยลง, อย่างกลาง ๑ ปี, อย่างเร็วที่สุด ๑-๙๐ วัน; ต้องรู้-ต้องเห็น-ต้องเข้าใจ และทำให้เรามีชีวิตต่อไปด้วยความสุขด้วยความไม่ทุกข์. การทำอย่างนี้ไม่ต้องเสียเงินเสียทอง, จะมาทำกันวันละ 1 ชั่วโมงก็ได้ ๕ นาทีก็ได้, แม้แต่การได้ยินได้ฟังบ่อยๆ กิเลสก็จะค่อยๆ ลดลงไป.
ความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้นเป็นบาปเป็นทุกข์ โกรธครั้งหนึ่งก็เป็นบาปเป็นทุกข์ครั้งหนึ่ง. "บาป" กับ "มืด" เป็นอันเดียวกัน. มืดนั้นหมายความว่า ไม่เห็น-ไม่รู้-ไม่เข้าใจ. "บุญ" กับ "รู้" เป็นอันเดียวกัน, เมื่อเรารู้แล้วเราก็สบายใจ เราไม่มีความทุกข์ไม่มีความสงสัย. ถ้าเขามืด เขาจะมีความทุกข์มีความสงสัย เช่น สงสัยว่าตายไปแล้วไปเกิดเป็นอย่างนั้นอย่างนี้. แต่บางคน, รวมทั้งอาตมาเองคนหนึ่ง ซึ่งเคยได้ทำบุญให้ทานรักษาศีลทำสมถกรรมฐานมา ก็ยังสงสัยเรื่องบาปบุญ ตายแล้วไปตกนรกหรือขึ้นสวรรค์-ไม่เข้าใจ ในตอนนั้น. พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ นิพพานก็อยู่ในใจนี้เอง, พ่อแม่ปู่ย่าตาทวดของเราก็เคยบอกอย่างนี้; แต่เราไม่เอามาคิดก็เลยไม่เข้าใจ.
(ต้องปฏิบัติเองให้รู้เอง)
การศึกษาเล่าเรียนจากตำรับตำรานั้นก็ดี แต่แก้ทุกข์ไม่ได้; ครูบาอาจารย์ผู้สอนท่านก็บอกว่าให้ละความโกรธความโลภความหลง แต่ท่านเองก็ยังละไม่ได้, สอนคนอื่นนั้นง่าย แต่สอนตัวเองนั้นยาก.
ส่วนวิธีที่อาตมาว่านี้ไม่ยาก, ไม่ต้องไปศึกษาเล่าเรียนก็ได้ เขียนหนังสือเป็นหรือไม่เป็นก็ได้ อ่านหนังสือได้หรืออ่านไม่ได้ก็ปฏิบัติได้ เด็กหรือผู้ใหญ่ ชายหรือหญิง บวชหรือไม่บวชก็ปฏิบัติได้ทั้งนั้น.
ธรรมะมีอย่างเดียวไม่มีหลายอย่าง. ที่พูดกันว่า ธรรมะของคนรักษาศีลห้าเป็นอย่างหนึ่ง, ธรรมะของคนรักษาศีลแปดเป็นอีกอย่างหนึ่ง, ธรรมะของนักบวชเป็นอย่างหนึ่ง, ธรรมะของฆราวาสเป็นอีกอย่างหนึ่ง, ธรรมะของคนที่ทำสมถกรรมฐานเป็นอย่างหนึ่ง, ธรรมะของคนที่ทำวิปัสนาเป็นอีกอย่างหนึ่ง; อันนั้นเป็นคนละเรื่องกับอันนี้. สำหรับอาตมา, อาตมาว่าธรรมะมีอย่างเดียว, ธรรมะคือการทำให้ความโกรธ ความโลภ ความหลงหมดไป; การทำอย่างนี้แหละเป็นศีลเป็นธรรม. ในตำราว่า : ศีลเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างหยาบ, สมาธิเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างกลาง, ปัญญาเป็นเครื่องกำจัดกิเลสอย่างละเอียด. แต่จริงๆ แล้วเรากำจัดได้ไหม, กำจัดไม่ได้. เพราะอะไร, เพราะว่าทำไม่ถูกต้อง.
คำว่า "กิเลส" ก็คือ ความโกรธ-ความโลภ-ความหลง นี่เอง, แต่เราส่วนมากเข้าใจไปแต่ในทางวัตถุเท่านั้น เราเข้าใจไปว่า การมีเงินมีทองมีบ้านหลังใหญ่ๆ มีรถเก๋งคันงามๆ เป็นกิเลส, ความจริง ตัวสิ่งเหล่านั้นไม่ใช่กิเลส เป็นแต่เพียงสิ่งที่ได้มาจากความขยันหมั่นเพียร ได้จากการรู้จักทำการงาน รู้จักเก็บน้อยผสมให้มาก. ส่วนตัวกิเลสที่อาตมาว่านั้น คือ ความโกรธ-ความโลภ-ความหลง ความทุกข์ใจ,เท่านั้นเอง. กิเลสที่ว่านี้ มันไม่กลัวใคร, คนรวยมันก็ไม่กลัว คนมีอำนาจมันก็ไม่กลัว แม้บวชนานๆ เป็นเจ้าคุณแล้ว มันก็ไม่กลัว, มันเข้าไปนั่งอยู่ในจิตในใจของทุกคนได้หมด; หรือจะพูดอีกอย่างหนึ่งก็ว่า - กิเลสมันตบหน้าได้หมดทุกคน. คนรวยพอถูกใครว่าเข้าหน่อยก็ไม่พอใจ นั่นแสดงว่ากิเลสมันตบหน้าเอาแล้ว, หรือเมื่อมีคนสรรเสริญเกิดพอใจ นั่นแหละกิเลสมันตบหน้าเอาแล้ว; ความทุกข์ก็เหมือนกัน, กิเลสจำพวกนี้ มันไม่กลัวใครทั้งหมด. มันกลัวเฉพาะผู้ที่เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าเท่านั้น; ผู้ใดเจริญสติปัฏฐานสี่อย่างถูกต้องมันจึงจะกลัว มันละอายไม่กล้าเข้าใกล้, เพราะผู้นั้นมีดวงตาเห็นธรรม คือ มีปัญญาเห็นแจ้ง.
ญาติโยมที่มาในที่นี้วันนี้ บางคนอายุยังน้อย ๒๐-๓๐ ปี, ถ้าหากเราเจริญสติอย่างถูกต้อง ภายใน ๒-๓ ปี เราก็พ้นทุกข์ ชีวิตที่เหลือต่อไปภายหน้าก็จะมีแต่ความสุข; แม้คนแก่อายุ ๕๐-๖๐ ปี ก็เช่นกัน, ถ้ายังไม่ตาย ชีวิตก็จะมีแต่ความสุข, เวลาตาย ก็ตายด้วยความไม่มีทุกข์; ถ้าเรามีอายุยืนต่อไปอีก ๙-๑๐ ปี ก็เป็นเก้าปีสิบปีที่ไม่มีทุกข์ มีแต่ความสุข ความเย็นอกเย็นใจ. นี่แหละเป็นแก่น เป็นเนื้อแท้ของพุทธศาสนา. พุทธะ แปลว่า ผู้รู้-ผู้ตื่น-ผู้เบิกบานด้วยธรรม.
อาตมาได้นำความคิดเห็นความเข้าใจของอาตมาเองมาพูดให้ฟังนี้ เรียกว่า วิปัสสนาอย่างลัดๆ, อึดใจเดียวเท่านั้น. ฟังแล้วก็จงนำไปปฏิบัติให้ได้ทุกลมหายใจ : ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน, จะทำการงานอะไรอยู่ก็ปฏิบัติได้; กำลังซักเสื้อผ้า ล้างถ้วยชาม กวาดบ้าน ก็ปฏิบัติได้ หรือกำลังทำนาทำสวนอยู่ก็ปฏิบัติได้, ฯลฯ. วิปัสสนานั้นเป็นตัวปัญญา, เป็นตัวชีวิต, เป็นตัวศีล, เป็นตัวธรรม; เป็นหมดทุกอย่าง; เป็นตัวชีวิตจิตใจ, เป็นตัวธรรมะแท้ๆ - ขอให้เราเข้าใจกันอย่างนี้.