กำภู สท้านไตรภพ

กำภู สท้านไตรภพ
สัมผัสธรรมครั้งแรก
ผมเคยได้ยินได้ฟังได้อ่านเรื่องของพุทธศาสนาเมื่อเริ่มเรียนหนังสือเป็นต้นมา อายุประมาณ 23 ปีก็เริ่มสนใจสิ่งที่เขาเรียกกันว่าธรรมปฏิบัติ ได้ปฏิบัติด้วยวิธีกำหนดลมหายใจ และภาวนาตามที่ครูบาอาจารย์ต่าง ๆ ท่านสอน จนกระทั่งปี 2518 มีโอกาสได้บวชที่วัดชลประทานรังสฤษดิ์ หลวงพ่อปัญญานันทะเป็นอุปัชฌาย์ พรรษานั้นหลวงพ่อเทียนได้รับการนิมนต์ให้เป็นอาจารย์สอนกรรมฐานพระนวกะ ผมขออนุญาตอุปัชฌาย์เข้ารับการฝึกปฏิบัติ ไปกราบหลวงพ่อเทียนรับคำแนะนำวิธีการปฏิบัติด้วยการยกมือสร้างจังหวะและการเดิน
หลวงพ่อสั่งให้ฉันอาหารองค์เดียวในกุฏิหลังจากบิณฑบาตกลับมาแล้ว คือการเก็บอารมณ์ในสมัยนี้นี่เอง เป็นเวลา 7 วันเต็ม ๆ ที่ตั้งใจปฏิบัติอย่างจริงจัง หลวงพ่อท่านจะลุยน้ำซึ่งท่วมแค่หัวเข่า เข้ามาสอบอารมณ์วันละอย่างน้อย 2 เวลา แต่ก็ยังไม่เข้าใจอะไรเลย ราว ๆ วันที่ 7 ที่ปฏิบัตินั้นจึงมีความรู้สึกว่ามันรู้อะไรไวและชัดเจนไปหมด ลมหายใจก็รู้เองโดยไม่ต้องกำหนด กะพริบตาก็รู้
เมื่อมาบวชที่วัดสนามใน เข้าใจธรรมะแล้วจึงรู้ว่าตนเองได้สัมผัสอารมณ์ รูปทำนามทำ มา 12 ปีแล้ว อีกอึดใจเดียวแท้ ๆ ก็จะทะลุปฐมฌานแล้วเรียกว่า ปุพเพ จะ กตะปุญญตา” การเป็นผู้มีบุญได้ทำไว้ก่อน
หลังจากนั้นหลวงพ่อก็ย้ายออกไปอยู่กฏิบริเวณของพระที่ไม่ได้ปฏิบัติ ซึ่งน้ำไม่ท่วม ผมถือโอกาสตามไปอาศัยหลวงพ่อนอนด้วย มีโอกาสใกล้ชิดหลวงพ่อ ก็ซักถามเรื่องร้อยแปดที่ยังสงสัยอยู่ได้ประมาณ 5-6 วันก็ลาสิกขาบท กลับไปทำงาน แล้วก็ไม่เคยติดต่อและทราบข่าวคราวของหลวงพ่อเลย นอกจากนี้ยังทิ้งวิธีของหลวงพ่อ กลับมานั่งหลับตาภาวนาต่าง ๆ เหมือนเดิม การบวชครั้งนั้นบวชทั้งหมด 17 วัน
วิถีชีวิตเปลี่ยนแปลง
มีทางเปลี่ยนแปลงด้านการงาน ในที่สุดก็ลาออกมาดำเนินกิจการเองขนาดเล็ก ๆ แต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงเปลี่ยนงานใหม่ในปี 2520 พอปี 2522 บิดาป่วยหนักจึงทำหน้าที่พยาบาลจนท่านเสียชีวิต มารดาขอร้องให้รับราชการจึงสมัครเป็นลกจ้างชั่วคราวแล้วสอบบรรจุเป็นข้าราชการเมื่อปี 2523
ความสำนึกมีอยู่ในใจเสมอว่าจะต้องค้นหาสัจธรรมให้พบให้ได้ นับเป็นโอกาสของผม เมื่อเข้ารับราชการจะมีสิทธิลาบวชได้ เมื่อปฏิบัติราชการถึงกำหนดตามระเบียบ ปี 2528 วางแผนล่วงหน้าว่าจะบวชที่วัดชลประทานฯ เป็นอันดับแรก วัดธรรมกาย คลองหลวงเป็นอันดับที่ 2 ขณะนั้นยังไม่เคยรู้จักวัดสนามในเลย
พอดีคุณสุพจน์ ชัยวิมล ซึ่งนับถือศาสนาคริสต์ เป็นน้องชาย คุณสุพนธ์ ชัยวิมล เอาหนังสือ“ ทวนพระแส มาให้ 1 เล่ม ผมจึงแวะมาดูวัดสนามในบ่อยครั้ง รู้สึกสภาพดี แต่ยังไม่ตัดสินใจ แม้จะพบหลวงพ่อเทียนหลายครั้งก็ตาม แต่ไม่เคยแสดงตัวเองว่ารู้จักท่าน จึงจัดลำดับไว้ในใจเอาวัดสนามในไว้เผื่อเลือก
แรงผลักดันอีกอย่างหนึ่งที่ทำให้ต้องการบวชก็คือ ต้องการมีฌานแก่กล้า มีอิทธิฤทธิ์มีหูทิพย์ ตาทิพย์ มีอภิญญา วิชาที่แสดงอิทธิฤทธิ์ได้ มีมโนมยิทธิ สามารถรู้ใจผู้อื่น และระลึกชาติได้ ตามที่หนังสือที่วางขายทั่ว ๆ ไปเขียนเอาไว้
บวชเพราะไม่มีที่เลือก
ผมขอลาอุปสมบทได้ตามระเบียบราชการปี พ.ศ. 2530 ผมแวะมาที่วัดสนามในอีก บังเอิญพบโยมผู้หญิงคนหนึ่งเป็นคนปักษ์ใต้ ทราบว่าผมจะบวช แกจึงบอกกับผมว่าไปบวชวัดทางปักษ์ใต้ดีกว่า อาจารย์ท่านหนึ่งเป็นอาจารย์หนุ่มชาวปักษ์ใต้ มีชื่อเสียงมาก เรียกว่าระดับประเทศ แกบอกว่าบวชกับอาจารย์ท่านนี้ดีแน่ มีความรู้แถมมีศพให้ดูเพื่อพิจารณาด้วย และก็บอกว่า แกปฏิบัติอยู่วัดสนามในมานานไม่เห็นได้เรื่องได้ราว ก็ยิ่งเกิดความลังเล
ในที่สุดก็หมดโอกาสเลือก เพราะวัดชลประทานผู้สมัครเต็ม ส่วนวัดธรรมกายไปติดต่อถึง 2 ครั้ง แต่ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ไม่ชอบอะไรบางอย่าง จึงเลิกล้มความตั้งใจ จึงมาติดต่อขออยู่ที่วัดสนามใน โดยไปทำพิธีที่วัดพิกุลทอง ซึ่งเป็นวัดเจ้าคณะตำบล
ผมมีกำหนดวันลาบวชตั้งแต่6 กรกฎาคม - 27 ตุลาคม 2530 พอติดต่อเรียบร้อย ก็กำหนดบวชวันที่ 6 กรกฎาคมนั้นเลย มีภรรยามาร่วมพิธีเพียงคนเดียวเพื่อช่วยขับรถรับส่ง บวชแล้วมาอยู่วัดสนามในจริง ๆ
การปฏิบัติในระยะแรกก็ไม่ได้จริงจังอะไรนัก บวชมาเกือบเดือนยังไม่ได้อะไร มาเกิดความสำนึกทุกครั้งเมื่อสวดมนต์ทำวัตร บทธรรมที่บรรพชิตควรพิจารณาเนือง ๆ 10 อย่าง ข้อ 8 ว่า วันคืนล่วงไป ๆ บัดนี้เราทำอะไรอยู่ แต่ก็พ่ายแพ้แก่ตนเองตลอดเพราะเกียจคร้าน ชอบพูดคุย
พอดีถึงคิวเก็บอารมณ์เหมือนถูกบังคับจำต้องปฏิบัติอยู่แต่ในห้อง ออกมาเฉพาะมีกิจธุระจำเป็น เหลือเวลาอยู่อีก 2-3 วันจะครบกำหนดเก็บอารมณ์ มีคนเอาหนังสือมาแจกทิ้งไว้หน้าห้องชื่อ ไหว้ตัวเอง ของหลวงพ่อ ผมถือโอกาสอ่านประมาณ 20 นาทีก็จบ เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้ก็เกิดความเข้าใจเรื่องรูปนามขึ้น เกิดความดีใจเที่ยวประกาศให้คนอื่นรู้อยู่หลายวัน หลังจากนั้นก็ปฏิบัติบ้างไม่ปฏิบัติบ้าง เวลาล่วงเลยไปกว่าครึ่งพรรษายังไม่ก้าวหน้าไปถึงไหน ความสานึกก็เกิดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งว่าบวชทั้งทีไม่ได้อะไรเลยน่าตำหนิตัวเอง
พบสัจธรรม
ความตั้งใจที่จะปฏิบัติจริง ๆ จัง ๆ ก็เกิดขึ้น จึงเกิดความต่อเนื่องผิดกว่าแต่ก่อน เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2530 ปรากฏการณ์ที่ไม่เคยพบก็เกิดขึ้นโดยความตั้งใจที่จะพบสัจธรรมให้ได้ เดินจงกรมสลับกับการยกมือใช้การเพ่งบางเวลา กำหนดลมหายใจและกะพริบตาเข้าช่วย เพราะนึกโมโหตัวเองที่เดินอยู่ในความคิด คิดไปสารพัดไม่ได้อะไรเลย จึงตัดสินใจใช้วิธีบังคับเข้าช่วย โดยเฉพาะมีความชำนาญด้านลมหายใจอยู่ พร้อมกับแทรกการกะพริบตาเข้าไป
ไม่น่าเชื่อ เพียงอึดใจเดียวเท่านั้นความสงบเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด แต่ก็มีอาการมึนศีรษะพอสมควรเพราะไปเพ่ง แต่ตัดสินใจแล้วจะเป็นอะไรก็เป็นกันเองทำให้ได้ จึงรู้ว่าใจเริ่มปกติเพราะความสงบเป็นตัวบอก ที่จริงวิธีการเพ่งนั้นครูบาอาจารย์ท่านเตือนไว้เสมอ แต่ผมได้กล่าวไว้แล้วในเบื้องต้นว่า ผมได้สัมผัสอารมณ์ รูปทำ นามทำ ตั้งแต่ 12 ปีที่แล้วมา จากอารมณ์นี้จะต่อเข้าสู่อารมณ์ของปฐมฌานนั้นจะใช้เวลาเรียกว่าเพียงอึดใจเดียวเท่านั้น มันจึงเป็นเรื่องเกื้อกูลกันพอดี
พยายามประคองอารมณ์ให้ตั้งอยู่นานที่สุดเป็นชั่วโมง ๆ จิตสำนึกในขณะนั้นบอกกับตัวเองว่าถ้าไม่ต้องเคลื่อนไหวแล้วสงบอย่างนี้ก็ไม่ทุกข์แล้วนี่ ความเข้าใจอื่น ๆ ยังไม่มี แต่ที่จริงจิตสำนึกอันนั้นแหละจะเรียกว่าปัญญาเกิดก็ได้ แต่เป็นการปฏิบัติเบื้องต้นจึงไม่รู้ลึกซึ้ง
วันรุ่งขึ้นแข้งขามันปวดไปหมดเพราะเดินไม่รู้จักเบื่อ จากนั้นก็เริ่มรู้จักสมมุติ รู้จักศาสนา รู้จักพุทธศาสนา รู้จักบาป บุญ รู้จริง
จนออกพรรษาถือโอกาสกลับบ้าน ไปวัดที่อยู่ข้าง ๆ บ้าน เจ้าอาวาสและรองเจ้าอาวาสอายุพรรษาไม่ต่ำกว่า 40 พรรษา โดยเฉพาะรองเจ้าอาวาสเป็นอาจารย์สอนกรรมฐานสำนักใหญ่ในกรุงเทพฯ เข้าไปกราบท่าน แล้วจับมือสอนธรรมะ เรียกว่ารู้ของจริงแล้วไม่กลัวใครไม่รู้สึกตัวเลยว่าเราตกอยู่ใต้โมหะหรือปีติหรือวิปัสสนูปกิเลส เพราะมันรู้ของจริง อยากบอก อยากสอน และวิจารณ์ผู้อื่นว่าไม่รู้จริง มีอาการเช่นนี้อยู่เกือบ 1 เดือน โดยไม่รู้จักตัวเลยว่าตกอยู่ในโมหะหรือวิปัสสนูปกิเลส
พอดีมีโอกาสเข้าไปช่วยหลวงพ่อจัดหนังสือที่กุฏิท่าน จึงปรารภกับท่านว่า ไม่เข้าใจอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา วันรุ่งขึ้นตี 4 ครึ่งทำวัตรเช้า หลวงพ่อท่านลงทำวัตรด้วย นำสวดแค่นะโม 3 จบแล้วเลิก แสดงธรรมเรื่อง อนิจจังทุกขัง อนัตตา วันนั้นก็ทบทวนอารมณ์จนเกิดความเข้าใจ
รุ่งขึ้นอีกวันหนึ่ง หลวงพ่อท่านก็ลงมาทำวัตรเช้าด้วยอีกเช่นเคย ท่านนำสวดมนต์บทเดียวแล้วเลิก แสดงธรรมต่อเรื่องวิปัสสนูปกิเลส วันนั้นจึงทบทวนอารมณ์และปฏิบัติตามที่ท่านแนะนำ อาการปีติ อวิชชา หรือวิปัสสนูปกิเลสหายไป ศีลจึงปรากฏขึ้น วันนั้นตรงกับวันที่ 15 ตุลาคม 2530
หลวงพ่อท่านมีเมตตามากและเห็นความสำคัญของการสร้างคนมาก แม้จะมีผมคนเดียวที่ติดขัด ท่านก็ถือเป็นเรื่องสำคัญ สละเวลามาช่วยแนะนำวิธีการแก้ไขอารมณ์ให้ทันทีที่ท่านรู้ ถึงกำหนดลาสิกขาบทวันที่ 29 ตุลาคม 2530 การปฏิบัติครั้งนี้เรียกได้ว่าจบอารมณ์รูปนาม
จิตใจเปลี่ยนครั้งที่ 2.
ปีใหม่เหมือนได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ วันที่ 30 ธันวาคม 2530 เป็นวันพุธ ผมจึงใช้วันลาพักผ่อนต่อ 5 วัน เมื่อรวมวันหยุดแล้วผมมีเวลาติดต่อกัน 12 วัน เลิกงานวันที่ 30 ธันวาคม 2530 ก็เดินทางมาวัดสนามในซึ่งมีการอบรมธรรมะปฏิบัติ คืนวันที่ 31 ธันวาคม2530 ครูบาอาจารย์ก็สั่งให้เก็บอารมณ์
พอตอนสายวันที่ 2 มกราคม 2531 ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ได้พบเห็นสิ่งใหม่ ๆ แต่ก็ถูกทดสอบจากครูบาอาจารย์ ไม่ยอมรับบอกว่าเป็นการทบทวนของเดิม จึงปฏิบัติต่อถึงวันที่ 5 มกราคม 2531 จึงรู้ เห็น เข้าใจ จิตใจเปลี่ยนแปลงเป็นครั้งที่ 2 เพราะกระแสนิพพานได้เห็นวัตถุ เห็นปรมัตถ์ เห็นอาการ ต่อจากนั้นก็ไม่สามารถจะหาโอกาสเข้าปฏิบัติที่วัดได้อีกเลยทั้ง ๆ ที่วางแผนวันลาเอาไว้เรียบร้อยแล้ว เหมือนจะท้าทายให้พิสูจน์คำว่า อกาลิโก ปฏิบัติเมื่อไรได้เมื่อนั้น
ธรรมะเกิดข้างถนน
เอาวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2531 ขณะที่อยู่ข้างถนน รถวิ่งไปมาเป็นหมื่นเป็นพันคัน เสียงดังสนั่นหวั่นไหว ขณะรอรถบริการของส่วนราชการเพื่อเดินทางไปทำงาน ก็ถือโอกาสเดินทำความรู้สึกตัวฆ่าเวลา เกิดปรากฏการณ์ประหลาดเห็นคนเดินอยู่ หลบสายตาลง ภาพนั้นหายไปแต่กลับปรากฏภาพคนนั้นขึ้นมาใหม่เหมือนกับมีการถ่ายภาพหรือถ่ายเอกสารเก็บไว้ เห็นอะไรเป็นอย่างนั้นไปหมด 2 อาทิตย์เต็ม ๆ จึงเข้าใจ กิเลสนี่เองที่มันแตกตัวออกเป็น อุปาทาน และตัณหา
จิตใจเปลี่ยนแปลงอีกในห้องน้ำ
เมื่อกิเลสมันแตกตัวออกมาให้เห็น ให้เข้าใจอาการเกิดดับของนามรูป คือความคิดแล้ว มันก็ยังไม่หมดสิ้นความสงสัย เนื่องจากภารกิจประจำมีมากจึงไม่มีโอกาสเข้าวัดปฏิบัติได้ มีเวลาเดินทำความรู้สึกตัวช่วงเย็นประมาณครึ่งชั่วโมง และตอนเช้าใช้เวลาครึ่งชั่วโมงด้วยการวิ่งเป็นการเจริญสติ ถือการออกกำลังเป็นเรื่องรองลงมา การปฏิบัติเหมือนไม่ก้าวหน้าเลย
ปรารภกับครูบาอาจารย์ตลอดมาว่ามีแต่ความรู้สึกตัว กับความไม่รู้สึกตัว 2 อย่างเท่านั้น
ในวันที่ 12 กรกฎาคม 2531 กลับจากวัดสนามในถึงบ้าน ก็เข้าห้องน้ำอาบน้ำ พอน้ำราดลงบนศีรษะ ความดีใจก็เกิดขึ้นเหมือนกับจะตะโกนออกมาให้ดังที่สุดว่า รู้แล้ว สิ้นสงสัยแล้ว เห็นอาการทำดี ทำชั่ว เรียกว่ารู้จักกรรม ทีนี้ถ้าเราไม่เผลอตัวเราก็อยู่เหนือกรรมได้แล้ว
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเรียกได้ว่า สามารถรู้เห็นอาการเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของร่างกายและจิตใจ ซึ่งจะเรียกว่าชีวิตแท้ ๆ ชีวิตจริง ๆ ชีวิตล้วน ๆ หรือขันธ์ทั้ง 5 เรียกได้ว่าเจริญสติปัฏฐาน 4 จนครบถ้วน เห็นอาการเคลื่อนไหวของกาย เรียกว่ากายานุปัสสนา เห็นอาการเคลื่อนไหวของจิตใจก็เรียกว่าเวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา ธัมมานุปัสสนา ซึ่งอาการเคลื่อนอาการไหวหรือขันธ์ทั้ง 5 นั้นมันต้องเคลื่อนต้องไหวของมันอย่างนั้น เรียกว่าอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มันไม่เที่ยง เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ที่สำคัญที่สุดบังคับมันไม่ได้ เรียกว่าเป็นทุกข์นั่นเอง
จึงกล่าวได้ว่าทุกข์เท่านั้นที่เกิดขึ้น ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป เรียกว่าสามารถทำ สักทายะทิฐิวิจิกิจฉา และสีลพตปรามาสได้แล้ว แม้จะไม่ถึง 100% ก็ตาม
นับระยะเวลาตั้งแต่บวชจนสึกออกมา 1 ปีกับ 6 วัน ที่ปฏิบัติอยู่กับภารกิจการงาน อยู่กับครอบครัวเหมือนคนทั่ว ๆ ไป ดังนั้นธรรมะนอกจากไม่เลือกเวลาแล้วยังไม่เลือกสถานที่อีกด้วย
นับว่าผมเป็นผู้หนึ่งที่เป็นหนี้บุญคุณหลวงพ่อเทียนที่กรุณาแนะทางให้ได้พบสัจธรรมที่ท่านประกาศเอาไว้ด้วยชีวิตและสุดท้ายท่านก็ใช้ชีวิตของท่านพิสูจน์สัจธรรม ท่านทำได้ตามที่ท่านประกาศไว้ เป็นอุทาหรณ์แด่ครูบาอาจารย์ทั้งหลาย และผู้ที่อ้างตนว่าเป็นศิษย์ของท่าน ที่จะประพฤติปฏิบัติตาม เพื่อเป็นตัวอย่างแก่ผู้อื่น เป็นกระจกสะท้อนให้เห็นการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และจริยาวัตรอันงดงามของท่าน เช่น การบูชาตัวเราเองเป็นต้น
ท่านพูดเสมอว่าเขาทำดี เราก็ต้องทำดีตอบด้วย แม้เด็กไร้เดียงสาเข้าไปกราบท่าน ท่านก็พนมมือรับไหว้อย่างดีไม่มีเก้อเขิน เพราะท่านสอนเรื่องสมมติ แล้วท่านก็ทำได้จริง ๆ ที่สำคัญที่สุดท่านเอาใจใส่ลูกศิษย์ลูกหาท่าน แม้จะมีเพียงคนเดียวมาปฏิบัติกับท่าน ท่านก็ดูแลเป็นอย่างดีไม่ทอดทิ้ง ท่านเคยขึ้นเครื่องบินจากกรุงเทพฯ ตอนเช้าไปเมืองเลย เพื่อสอบอารมณ์ลูกศิษย์ท่าน แล้วขึ้นเครื่องบินกลับมาตอนเย็น
การเจริญรอยตามท่านได้ก็เหมือนกับได้ทดแทนบุญคุณพระพุทธเจ้าทั้งหลาย ครูบาอาจารย์บิดามารดาและผู้มีพระคุณ เป็นการช่วยจรรโลงพุทธศาสนาตามเจตนารมณ์ของหลวงพ่อ ผมเองไม่มีทรัพย์สมบัติใดที่จะใช้เพื่อทดแทนท่านได้ นอกจากอริยทรัพย์ที่ได้มาจากการแนะนำของท่าน ช่วยเผยแพร่ธรรมะเป็นการทดแทนบุญคุณท่านและจะพยายามเอาเยี่ยงท่าน เจริญรอยตามท่าน แม้จะเพียงหนึ่งในร้อยของท่านก็ตาม