แม่ดอกไม้ ศรีสวัสดิ์

แม่ดอกไม้ ศรีสวัสดิ์
ศิษย์ปฏิบัติธรรม รุ่น 3 เรียบเรียงจากการสัมภาษณ์ ณ ทับมิ่งขวัญ จังหวัดเลย
ประสบการณ์การปฏิบัติธรรม
หลวงพ่อกับ ปู่ฮวน, ป้าหนอม, ยายเรือง, ยายจูมศรี, และแม่ดอกไม้
ดิฉันเป็นข้าราชการบำนาญ เกษียณอายุมาแล้ว 6-7 ปี เริ่มแรกที่จะปฏิบัติธรรมกับหลวงพ่อ ดิฉันเป็นคนรักครอบครัวมาก รักพ่อบ้านรักลูก รักญาติพี่น้องมาก ถ้าหากว่าใครเป็นอะไรไป ดิฉันคงจะเสียสติไปแน่ ก็เลยหาที่พึ่งทางใจ พอดีเกษียณอายุราชการแล้ว อายุได้ 61 ปี ก็มาพบหลวงพ่อ พอมาพบหลวงพ่อก็บอกความประสงค์กับหลวงพ่อว่า ดิฉันอยากจะปฏิบัติธรรมะแบบนี้
ดิฉันมา 8 ธันวาคม 2525 มาหาหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็สอนให้ในวันนั้น จากหลวงพ่อไปคืนนั้น 3 ทุ่ม ดิฉันปฏิบัติจนถึง 5 ทุ่ม แล้วก็หลังจากนั้น 3-4 วัน เกิดนิมิตขณะนั่งสร้างจังหวะเจริญสติอยู่อย่างนั้น เหมือนเขาเชื่อมโลหะตรงที่ตาข้างขวานี่เปรี๊ยะ ๆ ๆ เราก็มองดูเป็นแสงเป็นรัศมีออกมา
หลวงพ่อเคยบอกไว้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เราไม่ต้องไปสนใจ ก็สร้างจังหวะไปเรื่อย ๆ
พอวันที่ 2 ก็เกิดนิมิตมาอีก มีนิ้วมือรู้สึกว่าจะโตกว่านิ้วเท้าของผู้ชาย เอื้อมมาที่ศีรษะ ดิฉันก็มองดูเป็นมือคน แต่ดิฉันไม่ได้กลัว ดิฉันก็สร้างจังหวะต่อไป มือนั่นก็หายไป
พอวันที่ 15 จิตเปลี่ยน คำว่า เปลี่ยน คำนี้หมายความว่า ขณะที่มันเปลี่ยนนั้นไม่ทราบว่าขาตัวเอง เท้าตัวเอง หัวตัวเอง อยู่ที่ไหน จำได้แต่ว่า มันจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม หลวงพ่อให้เจริญสติ ดิฉันก็นั่งลง ตอนนั้น ตอนจิตเปลี่ยนนั้นไม่ทราบว่าขา ไม่ทราบว่าหัวตัวเองอยู่ที่ไหน ดิฉันกำลังจะลุกขึ้น แต่ทีนี้มานึกถึงคำหลวงพ่อได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม ขอให้สร้างจังหวะ ให้เจริญสติ ดิฉันก็นั่งลงเจริญสติประเดี๋ยวเดียวอาการเปลี่ยนนั้นก็หายไป
ในราว ๆ เดือนกมภาพันธ์ จำได้แน่นอนที่สุดว่า วันเพ็ญเดือน 3 คือวันมาฆะบูชา ตี 2 ดิฉันนอนไม่หลับ ลุกขึ้นมาเจริญสติได้เป็นครั้งที่ 2 เที่ยวที่ 3 ก็รู้ขึ้นมา สติ ! สติอยู่ตรงนี้เอง จึงได้สั่นมือตัวเอง สติอยู่ตรงนี้เอง ๆ นั่นวันแรก คือ รู้สติ วันเพ็ญเดือน 3 วันมาฆะบูชา หลังจากนั้นวันที่ 29 เดือนเดียวกัน เกิดปีติ ตัวเบาหมด ยกแขนขึ้น แขนก็จะลอย ยกขาขึ้น ขาก็จะลอย แล้วมีความสุขที่สุด
ตั้งแต่เกิดมาจนอายุ 61 ปี ไม่เคยมีความสุขเหมือนวันนี้ เหมือนน้ำทิพย์มาชะโลมร่างเรา เหมือนเซลล์ทุกเซลล์ยิ้มได้หมด ตัวเองก็ยิ้มในขณะนั้นมีความสุขที่สุด ออกมาข้างนอก มาลองเดินดู ขาก็จะลอยเดินก็จะลอย จะลอยขึ้นมาจากพื้น มันเบาหมด ทีนี้ก็เลยนึกว่าจะปลุกพ่อบ้านกับลูกสาวคนเล็กขึ้นมาดู แต่ก็ไม่ได้ปลุก พอกลับเข้าไปข้างในก็รู้สึกมีความสุขจนบอกไม่ถูก พอวันที่ 2 ก็เป็นอีก แต่เป็นนิดเดียว
หลังจากนั้นมา ปกติดิฉันทำวัตรเช้าเสร็จ ดิฉันก็นั่งต่อ จนถึงตี 5 พอทานข้าวตอนเย็นเสร็จ ก็เข้าห้องเจริญสติ ไม่ดูอะไรทั้งนั้น แล้วตอนกลางวัน อ่านหนังสือ สว่างที่กลางใจ ของหลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อไม่ได้อยู่ที่จังหวัดเลย ท่านอยู่ที่วัดสนามใน สงสัยตรงไหนก็เปิดสว่างที่กลางใจ คลำเอาเอง ดูด้วยตัวเองแท้ ๆ การเห็นความคิดนี้ รู้สึกว่า จะเห็นง่าย ระยะ 4-5 วันนี่ก็เห็นความคิดเลย หลังจากที่รู้ความคิด รู้ก่อนที่จะรู้สติ รู้ก่อนเลย ความคิดนี่ 3-4 วันเท่านั้นเห็นความคิด ปฏิบ1ตได้8 วันก็ได้รูปนาม หลังจากนั้น 4-5วันก็มาเห็นความคิด ต่อจากนั้นจึงมาเห็นสติ
พอเห็นความคิดนี่ มันลากเราไปไกลเหลือเกิน ทีนี้พอตอนหลังมา มันก็รู้สึก ตอนนั้นเราทำการทำงาน เรายังไม่มีความรู้สึก เราจะมีความรู้จักแต่ตอนเราสร้างจังหวะกับตอนเดินจงกรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ทำการทำงานก็ให้มีความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา ให้มีความรู้สึกติดต่อกันเป็นลูกโซ่ ทำอะไรก็ให้เป็นลูกโซ่ แล้วดิฉันเองก็ทราบว่า การเกาะกันเป็นลูกโซ่นี่ ก็คือการเกาะอย่างนี้ แต่ทีนี้มันไม่เกิดกับเรา จนกระทั่งก็ทำมาเรื่อย ๆ แต่ก็มาติดสุขอยู่ 3-4 เดือน จนกระทั่งไปประชุมที่ขอนแก่น ท่านอาจารย์สงครามก็แนะให้ จึงออกจากสุขได้
สุขในที่นี้หมายความว่า ความสงบ จะอยู่อย่างไร ใครจะพูดอย่างไรมันก็สุขไปหมด ทำอะไร จะอยู่จะกิน จะอย่างไรมันก็สุขไปหมด มันก็อยู่ในความสงบนั่นเอง ใครจะพูดอะไรจิตใจเราก็ไม่หวั่นไหว ต่อจากนั้นก็ปฏิบัติมาเรื่อย ๆ
ต่อมาเราก็มาทดสอบจิตใจของเรา บังเอิญดิฉันมีเรื่องขัดแย้งกับญาติข้างบ้าน จึงได้ทดสอบว่า สติของเรามั่นคงขึ้นแล้ว เราก็มารู้ว่า สติเมื่อมันสมบูรณ์แล้ว มันจะสามารถช่วยเราได้จากการกระทบกระทั่งของสังคมภายนอกได้ดีอย่างยิ่ง คือ หมายความว่าเขาจะกระทบมาอย่างไร จิตของเราจะไม่หวั่นไหว คือไม่ไปยึดไปถือ หลังจากนั้น ก็ทำมาเรื่อย ๆ พอจิตสงบเมื่อไรมันก็จะเกิดปัญญา
ดิฉันเริ่มปฏิบัติ พ.ศ. 2525 สองปีแรกนั่นที่กับมิ่งขวัญ ดิฉันไม่ทำกับข้าวช่วยเพื่อนเลย ดิฉันเอาเงินให้ ดิฉันขอปฏิบัติ วันที่ 24 ตุลาคม 2526 ดิฉันเห็นทุกข์ ขณะที่เดินจงกรมอยู่ข้างกระท่อม น้ำตาไหล แต่ไม่ร้องไห้ วันที่ 26 ตอนเช้า เดินอยู่ข้างกระท่อม มันบอกออกมาเลย จะทิ้งทุกข์ก็ไม่ได้ จะหนีทุกข์ก็ไม่ได้ เพราะอยู่กับใจ เราจะต้องหาวิธีอยู่กับความทุกข์ ไมให้มีทุกข์ หรือมีทุกข์น้อยลง มันบอกแบบนี้ และตอนกลางวันมันก็หาของมันตลอดวัน คล้าย ๆ น้ำเดือดอยู่ในกา ไม่มีอะไร หรือควันอะไรพุ่งออกมา มันก็หาทั้งวัน
ตอนกลางคืน จิตใจเราก็รู้สึกว่ามันหวั่นไหว มันจะหนักหน่วงคล้าย ๆ ว่า มันจะมีอะไร มันจะออกมาจากข้างใน จนกระทั่งตอนกลางคืน 5 ทุ่มก็ง่วง นอนหลับไป ตื่นนอนตี 2 ออกมาเดินข้างกระท่อมอีก พอเดินไปรอบที่ 3 นี่มันบอกเลย สติ คำเดียว เราจะอยู่กับทุกข์ ไม่ให้มีทุกข์ได้นั้น คือสติ อันนี้มันเป็นขั้น ๆ มาเลยนี่ พอปีต่อมาก็ทำมาเรื่อย ๆ หลังจากทำวัตรเย็นเสร็จ
ปี 2527 ก็มีเปิดอบรมปฏิบัติธรรมในเดือนตุลาคมอีก หลวงพ่อสมบูรณ์ ลูกศิษย์หลวงพ่อไปสอบอารมณ์ ก็บอกว่า
โยม อาตมานี่พูดกับโยมอยู่นี่ มีความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา
เอ ! รู้สึกตัวอย่างไร ดิฉันก็สงสัย
พอวันที่ 11 กำลังเดินจงกรมอยู่ตอนเช้าที่หลังกระท่อม ก็วูบขึ้นมา มันเป็นอย่างนี้เอง ที่หลวงพ่อบอกไว้ว่า ความรู้สึกตัวให้เกาะกันเป็นลูกโซ่ ลองคว้ากิ่งมะม่วง มันก็ยังมีความรู้สึกตัว เดินมาที่กระท่อม มาจับกระป๋องน้ำดื่ม มันก็มีความรู้สึกตัวอยู่ ตอนนั้นถนอมเหลือเกิน กลัวมันจะหาย เปิดประตูกระท่อมก็ยังมีความรู้สึกตัวอยู่ เดินไปที่ห้องน้ำ เปิดประตูห้องน้ำ ทำธุระเสร็จแล้วออกมา ก็ยังมีความรู้สึกอยู่ เดินมาที่กระท่อมมาถอดเสื้อชั้นนอกออกจะไปอาบน้ำ ทำอะไรทุกอย่าง ก็ยังมีความรู้สึกติดกันอยู่ จับกระป๋องไป จับขันไป จับสบู่ไป อาบน้ำ กลับมาก็ยังมีความรู้สึกอยู่
พอเป็นอย่างนั้นแล้ว ตอนกลางวันก็ทดลองเดินจากวัดนี่อ้อมไปโรงสี อ้อมมาทางเล้าหมู รู้สึกว่าอ้อมอยู่ จะเป็นเกือบ 20 รอบ ทดสอบดูว่ามันจะติดต่อกันจริงไหม วันนั้นคนก็สงสัยกันว่า แม่ดอกไม้เป็นอะไรนะ เดินอ้อมวัดอยู่
พอรู้อย่างนั้นแล้ว ทีนี้พอต่อมาเราทำอะไรก็รู้สึก จะมีความรู้สึกขึ้น จะทำอะไร ทำการทำงานอะไรก็รู้สึกมีความรู้สึก แต่ยังไม่สมบูรณ์ ต่อมาจิตใจ สติ ก็จะมีความสมบูรณ์มากขึ้น
หลังจากเกิดอย่างนั้นแล้ว ต่อมาดิฉันมาสวดมนต์ เริ่มมีความรู้สึกที่ริมฝีปาก แต่ยังไม่สมบูรณ์ บางช่วงก็รู้สึก บางช่วงก็ไม่รู้สึก แต่เดี๋ยวนี้รู้สึกตั้งแต่ อรหํ สมฺมา..จนกระทั่งกระทำที่สุดแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้น มีความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาเป็นสมาธิอย่างยอดเยี่ยม
หลังจากที่เกิดปีติ ความรู้สึกติดต่อ ติดต่อกันอย่างนี้ ก็มารู้ว่า อ้อ ! การปฏิบัติธรรมะนี่นะ มันจะทำให้ตัวเรานี่ สามารถจะต่อต้าน อารมณ์สังคม อารมณ์ภายนอกได้อย่างดียิ่ง แล้วถ้าเราเป็นผู้บังคับบัญชาคน เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ ถ้ารู้ธรรมะอย่างนี้แล้ว จะมีความอดกลั้นต่อการกระทำของลูกน้อง จะกระทบมาแบบไหน ทางหู ทางตา ทางไหนก็ตาม มันจะอดกลั้น และอดทนได้ดีที่สุด ถ้าเราเป็นลูกน้องเขา มีเจ้านายเป็นลำดับขึ้นไป เป็นลำดับอย่านี้ เราก็จะสามารถทนต่อคำว่ากล่าว หรือคำแนะนำตักเตือนอะไรได้ทุกอย่าง เพราะตอนนี้จิตของเราเป็นสมาธิแล้วมันเฉยได้ ใครจะพูดอะไร เราก็ไม่มีอุปาทานไปยึดเอามา
พูดถึงด้านความคิด จากวันนั้นจนถึงวันนี้ แต่ก่อนมันจะลากเราไปไกล เดี๋ยวนี้พอมันคิดขึ้นมาปุ๊บ เราจะเห็นปั๊บทันที แล้วจะรู้ด้วยว่าอารมณ์นี้เป็นอารมณ์พอใจ เสียใจ หรือว่าอารมณ์น้อยใจ หรือว่าอารมณ์โกรธ อารมณ์อะไรเรารู้เสร็จ พอเรารู้อย่างนั้นปุ๊บ เราจะกำหนดรู้ คือสติเราสมบูรณ์ มันจะหายไปทันที อัศจรรย์เหลือเกิน ตรงนี้แหละ ที่ทำให้เราไม่ทุกข์
พอเห็นความคิด มันปรุงแต่งไม่ได้ ก่อนนี้มันก็ปรุงแต่งไปจนสุด มันเป็นทุกข์แล้ว แต่ตอนนี้พอเราคิด เราเห็นว่ามันเป็นอารมณ์อะไร อารมณ์พอใจ เสียใจ หรือว่าอะไร พอเราเห็นมันปุ๊บนี่ เรากำหนดรู้หรือสติเห็น มันจะหายไปเอง ดังนั้นตอนนี้เราจะสบายขึ้นมาก ๆ เลย เพราะสติเราสมบูรณ์ขึ้นมาก พอคิดปุ๊บเราเห็นปั๊บ มันจะหายไปเลยมันไม่ปรุงแต่งเลย ตอนนี้ ตอนเดี๋ยวนี้น่ะ
ทีนี้จะกล่าวถึงว่า พอหลังจากนั้นมาแล้วนี่ ก็อ่านหนังสือท่านพุทธทาสว่า ให้รู้อะไรเป็นอะไร อันนี้เรายังไม่รู้ก่อนให้รู้ในตัวเองนั่นแหละ ให้รู้อะไรเป็นอะไร
พ.ศ. 2528 ดิฉันไม่สบายอยู่ราว 3 เดือน ลูกก็ไปส่งที่โรงพยาบาลรามา ฯ เพราะว่าดิฉันเคยเป็นมะเร็งมาแล้ว ก็กลัวว่ามันจะมีอะไรหลงเหลืออยู่ หมอบอกว่า จะให้กลืนแป้ง” เพราะทานข้าวไม่ได้และเจ็บที่กระเพาะ พอดิฉันไปนั่งดูนาฬิกาโมงครึ่ง วูบขึ้นมา รู้ว่าอันนี้เองที่ท่านพุทธทาส หรือหลวงพ่อพุธว่า ให้รู้อะไรเป็นอะไร
แต่ก่อนนี้ ถ้าเราดูอย่างนี้ เราดูเล็บก็เห็นเล็บ ดูแต่ละครั้งมันก็จะเห็น ข้อมืออย่างนี้ เห็นหลังมือเป็นอย่างนี้ ทีนี้พอมันวูบขึ้นมา มันจะเห็นเล็บเท้า เห็นข้อเท้าเห็นหน้าแข้ง เห็นเข่า เห็นขึ้นมา จนกระทั่งเอวขึ้นมา หน้าอกขึ้นมามานี่จนไปที่ศีรษะ ไปที่ผมแล้วมันก็ไล่ลงมาอีก มันก็จะไล่ไปไล่มาอยู่อย่างนี้ มันเกิดขึ้นเอง มันก็จะเห็น มันก็จะดูตั้งแต่เล็บเท้าขึ้นมา จนกระทั่งผม แล้วมันก็จะไล่จากผมลงมาหน้าผาก มาคิ้ว มาตา มาแก้ม มาคอ มานี่ มาหน้าอก มานี่ ลงมานี่ มาขา มาเข่า ถึงเล็บเท้า แล้วมันก็จะวนขึ้นมาอีก วนขึ้นมาอีก ทวนขึ้นมาอีก
ทวนไปทวนมา เราก็รู้แน่นอน ที่ท่านพุทธทาสหรือหลวงพ่อพุธท่านว่า ให้รู้อะไร เป็นอะไร คือ อย่างนี้เอง
ทีนี้พอไปนั่งอยู่ในห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว จะกลืนแป้ง วันเดียวกันในราวสัก8 โมงกว่า ๆ เปลี่ยนชุดสีเหลือง แล้วจะไปนั่งอยู่หน้าห้อง จะกลืนแป้งวูบขึ้นมาอีกแล้ว ตอนนี้รู้จักอายตนะ หู ตา
ตา มันก็ชี้ที่ตา ความรู้สึกเรามาชี้ที่ตา หูมันก็มาชี้ที่หู จมูก ความรู้สึกมันก็มาชี้ที่จมูก ลิ้นมันก็มาชี้นี่กายมันก็จะทวนทั้งหมดขึ้นมา ใจ มันก็มาวูบที่ใจ
แล้วมันก็ทวนใหม่ ตา ความรู้สึกมันก็มาชี้ที่ตา หู มันก็มาชี้ที่หู จมูก มันก็มาชี้ที่จมูก ความรู้สึกมันชี้ จมูก ลิ้น กายนี้มันก็จะทวนตั้งแต่เล็บเท้าขึ้นมาจนถึงผม ใจมันก็จะมาวูบที่นี่ ทวนไปทวนมา ทวนมาทวนไป จนเรารู้ว่า อันนี้อายตนะแน่นอน
ก็เลยเล่าให้ลูกสาวฟัง ก็พูดไปตามที่มันบอก มันสั่งให้เราพูด ความรู้อันนี้ เกิดวันที่ 5 พฤศจิกายน 2529
พอวันที่ 30-31 ธันวาคม 2529 ก็ไปที่กรุงเทพ ต้องไปหาหมอ ไปนอนห้องลูกสาว โอ้โฮ ! มันเกิดปัญญา ไม่รู้มีอะไรต่อมิอะไรเกิด กระทั่งรู้หมดเลย รู้ว่าธรรมะนี่ โอ้ ! มันดีวิเศษอย่างนี้ รู้อะไร รู้รูป รู้นาม รู้จิต รู้ใจ รู้คล้าย ๆ ว่ามัน รู้หมดทุกอย่าง รู้ในวันที่ 30ธันวาคม 2529 รู้หมดเลย จนกระทั่งว่าพอมันเกิดอย่างนี้ขึ้น มันรู้ล่วงหน้าไปเลยว่า เราจะแก้ปัญหาอย่างไร แก้ให้ตัวเราเองอย่างไร แก้ให้คนอื่นอย่างไร มันรู้หมดเลย
แล้วทีนี้พอมันรู้อย่างนั้นแล้ว ธรรมะนี่มันวิเศษมันดีอย่างนี้ มันสามารถจะช่วยตัวเราเองได้ อย่างนี้ใครก็ตามถ้ารู้ธรรมะอย่างนี้แล้ว ไม่มีวันจะฆ่าตัวตาย เพราะว่าพอเราทุกข์มาปุ๊บ เราเอาออก เรารู้วิธีเอาออกได้แล้วใช่ไหม เรารู้หมดเลย พอเราคิดปุ๊บ มันไม่ปรุงแต่ง พอสติเราเห็น มันก็หายไปเลย มันก็ไม่มีทางที่จะฆ่าตัวตายได้ คนที่ฆ่าตัวตายนี่คือ หมายความว่า ไม่มีทางออกแล้ว ไม่สามารถจะช่วยตัวเองได้ มันตื้นตันไปหมด
อย่างพวกเรานี่สบาย แล้วก็รู้สึกว่าเป็นคนโชคดีเหลือเกิน ที่มาเจอหลวงพ่อเทียน มีประโยชน์มากที่สุด ถ้าทุก ๆ ชีวิตได้ธรรมะแบบนี้ ภายในครอบครัวจะเป็นสุข ทุกคนจะรู้หน้าที่ของแต่ละคน พวกเราสบาย ที่นี่เดี๋ยวนี้ ถึงเราไม่ทำในรูปแบบ เราทำกับการกับงานทุกอย่างหมด จะทำกับข้าว จะทำอะไรก็ตาม เราเดินไปนี่พอเราลุกปุ๊บความรู้สึกตัวมันจะติดเท้าเราไปเลย
ก่อนนี้ เวลาจะมาวัด คล้าย ๆ มีสายใยเล็ก ๆ ถ่วงตัวเรามา ดิฉันเป็นคนชอบทำงาน ก็นึกว่านั่นก็ไม่ได้ทำ นี่ก็ไม่ได้ทำ เป็นห่วง แต่เดี๋ยวนี้ถ้ามาแล้ว ไม่มีทางห่วง จะมานอนค้างคืน 3 คืน 4 คืน ไม่นึกว่าทางบ้านจะกินอะไร หรือว่าจะห่วงว่าอะไรยังไม่ได้ทำ ไม่เคยนึกถึง แล้วเราอยู่เดี๋ยวนี้ แม้แต่บ้านเรือนหรือบ้านช่อง เราก็ไม่รู้ ลูกผัว เราก็ไม่มี ไอ้ความรู้สึกเดี๋ยวนี้ที่เรามาอยู่วัดนั่นไม่มี แม้แต่ตัวเราเอง ตัวดิฉันเองนี่ตัวแม่ดอกไม้นี่ไม่มีแล้ว มีแต่ความรู้สึก ถ้าเวลาพูดอยู่เดี๋ยวนี้ ก็มีแต่ความรู้สึก ริมฝีปาทกระทบกันอยู่อย่างนี้ จิตมันจะว่างไปหมดเลย มันจะมีแต่ความรู้สึกอย่างเดียว จิตว่างตัวเราเองก็ไม่มีด้วย
เวลาทำงานอยู่ก็ดี ทำอะไรอยู่ก็ดี ความคิดที่เป็นกิเลสมันคิดขึ้นมาปุ๊บนี่ เราจะรู้ทันที อันนี้มันเป็นความพอใจ เสียใจ ดีใจ หรืออะไรนี่ ความโกรธ ความพยาบาท อะไรนี่ มันจะรู้ของมันทันที ยังเคยล้อกับเณรที่วัดว่า แม่เป็นฮิตาชิแล้วนะ เอ้า เป็นอย่างไร ถ้าเกิดปุ๊บ มันก็เห็นปั๊บ คือหมายความว่าความคิดนี่นะ เกิดปุ๊บ มันจะเห็นปั๊บทันที แล้วมันก็จะไม่ปรุงแต่ง
คนเราถ้าคิดแล้วไม่ปรุงแต่งจะไม่ทุกข์เลย ทุกข์ก็คือความคิด มาจากความคิด คนเราถ้าไม่คิด มันจะไม่ทุกข์เลย แต่ว่าเราคิดแล้วมันไม่ปรุงแต่ง สติเราเห็นมันหายไป มันจะไม่ทุกข์ ทีนี้สมุทัย นิโรธ คือ เห็นการดับไปไม่เหลือของทุกข์ ตามความเห็นของดิฉัน ตามที่ดิฉันเห็นนะที่ว่าเห็นการดับไป ไม่เหลือของทุกข์ ก็คือ หมายความว่า พอความคิดเกิดปุ๊บ สติดิฉันเห็นความคิด มันสลายไปเลย อันนี้คือเห็นการดับไปไม่เหลือของทุกข์
ตอนแรกที่คิดจะมาปฏิบัติกับหลวงพ่อ เพราะจะหาที่พึ่งทางใจว่าถ้าคนที่เรารัก เมื่อจากเราไป มันจะเป็นทุกข์หนัก แต่เมื่อมาปฏิบัติเข้าแล้ว มันคลุมไปหมด แม้แต่การใช้ การจ่ายในชีวิตประจำวัน มันจะบัญญัติ หรือวางระเบียบชีวิตประจำวันออกมาหมด ควรใช้อย่างไร ควรทานขนาดไหน แต่ก่อนนี้เวลาจะเอาข้าวเอาแกงไปวัดต้องเอาไปมาก ๆ กลัวจะไม่ได้บุญ แล้ววันไหนไม่ได้ใส่บาตร เสียใจตลอดทั้งวัน แต่เดี๋ยวนี้พอรู้แล้ว บุญคืออะไร ก็คือเราไม่ทุกข์นั่นเอง จึงไม่จำเป็นต้องไปหาที่ไหนแล้ว ใครจะชวนไปที่ไหน ดิฉันไม่ไปแล้วเดี๋ยวนี้ เพราะว่าเราไม่มีทุกข์แล้ว คือ บุญแล้ว บาปก็คือ เราทุกข์
คือ เรารู้อยู่ในใจเราแล้วว่าเราควรจะทำอะไร ขนาดไหน อย่างไร มันรู้อยู่ในใจแล้ว มันจะคลุมไปหมด ความรู้สึกมันออกมาว่าโลก วิธีของพระพุทธองค์นั้น คือรู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง คำว่าโลกคำนี้ ไม่ใช่หมายถึงโลกแผ่นดินเรานี้ แต่หมายถึงความเป็นอยู่ชีวิตมนุษย์นี่ว่าจะปฏิบัติต่อกันอย่างไร โลกของพุทธองค์คือโลกอย่างนี้
ดิฉันรู้อย่างนี้ คือ รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง ก็คือรู้หมดทุกอย่าง ภายในตัวเรานี่ รู้หน้าที่พ่อ รู้หน้าที่แม่ รู้หน้าที่ลูก มันจะไม่ก้าวก่ายกัน มันจะเคารพซึ่งสิทธิของกันและกัน จะอยู่อย่างสบายที่ เราวุ่นวายเพราะว่าต่างคนต่างไม่รู้จักหน้าที่ ถ้าทุกคนต่างก็รู้จักหน้าที่กันดีแล้ว ก็จะไม่สับสนวุ่นวาย โลกเราทุกวันนี้ ที่พุทธองค์ทำนายไว้ว่า โลกจะร้อนเป็นไฟ ไฟบรรลัยกัลป์จะล้างโลก มันก็นึกของมันขึ้น
คำว่าล้างโลก ก็คือ ทำลายกันเอง สงครามอิรัก อิหร่าน แล้วตายกันเอง ใครต่อใครฆ่ากันไม่หยุดไม่หย่อน แล้วทีนี้ก็แย่งชิงอำนาจกัน มหาอำนาจแข่งขันกันในเรื่องแสนยานุภาพ เห็นแก่ตัวมากขึ้น แข่งขันกันแล้ว ผลที่สุดก็ทำลายล้างฆ่าฟันกันจนไม่มีอะไรดี มันจะไม่เป็นไฟได้อย่างไร ฆ่าฟันกันก็ร้อนระอุไปทั้งโลก ก็นับวันแต่จะร้อนไปเรื่อย ตราบใดธรรมะยังไม่ทั่วถึง ก็ร้อนอยู่นั่นเอง แต่มีอยู่คำหนึ่งที่ติดใจดิฉันก็คือว่า จะเหลือคนเพียง 3 ร่มโพธิ์ เข้าใจจากใจว่าคือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะถูกหรือผิดเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ดิฉันเข้าใจอย่างนี้
ดิฉันเริ่มปฏิบัติธรรมะแบบท่านหลวงพ่อเทียน เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2525 ดิฉันขอเล่าวิธีปฏิบัติธรรมะตามแบบท่านสู่กันฟังดังต่อไปนี้
การปฏิบัติธรรมะตามแบบของท่านนั้น เป็นวิธีลัดที่สุด ตรงที่สุด และง่ายที่สุด แต่ว่าจะต้องมีศรัทธราอย่างแรงกล้า ขยันหมั่นเพียรที่สุด ปฏิบัติติดต่อกันทุก ๆ วัน จึงจะได้ผล จนเกิดมีสติ สมาธิ ปัญญาอย่างสมบูรณ์ จึงจะสามารถเอาไปแก้ปัญหาชีวิตของตัวเอง และครอบครัว จนตลอดทั้งสังคม ประเทศชาติ แม้ที่สุดทั้งโลก และปล่อยปละละวาง ลดละกิเลส ตัณหา อาสวะ ได้แก่ โลภ โกรธ หลง แล้วเราก็จะไม่มีทุกข์หรือมีทุกข์น้อยลง
การเจริญสติที่ดิฉันจะเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้นั้น ทำโดยไม่นั่งหลับตา จะนั่งขัดสมาธิ จะนั่งพับเพียบ จะนั่งเก้าอี้ จะเหยียดขา จะยืนทำ นอนทำก็ได้ สมมุติว่าเรากำลังนั่งพับเพียบ หรือนั่งเก้าอี้ หรือยืน หรือนอน ให้เอาสติมาจับความเคลื่อนไหวของมือ เช่นพลิกมือขึ้น คว่ำมือลง ยกมือขึ้น เอามือลง ให้มีสติอยู่ทุกอิริยาบถ ทำอย่างนี้บ่อย ๆ นี้เป็นการเจริญสติอย่างหยาบ ๆ พูดง่าย ๆ ก็คือ ให้มีสติอยู่ทกอิริยาบถ ไม่ว่าจะนั่ง จะนอนจะยืน จะเดิน และกำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม ให้กำหนดรู้ คือรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
เมื่อเจริญสติจนชำนาญแล้ว ให้เอาสติไปจับความรู้สึกของจิตคือรู้ตามอารมณ์ ไม่ว่าจะนึกจะคิดอะไร ก็ให้รู้ให้เห็น ให้คอยดูความคิดดูจิตดูใจอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะทำอะไร เช่น กวาดบ้าน ถูบ้าน ทำกับข้าว ล้างถ้วยชาม ซักเสื้อผ้า เป็นต้น ว่าเกิดความรู้สึกอย่างไร เช่น พอใจ ไม่พอใจ กังวล สงสัย โกรธ พยาบาท ก็ให้เราคอยมองดูความคิด ดูอารมณ์ แล้วเราจะเห็นความคิดต่าง ๆ เช่นดีใจ เสียใจ อยากได้ โกรธพยาบาท เกลียด เป็นต้น มันเกิดขึ้น แล้วมันก็ดับไป การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นนี้แหละที่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสไว้ว่า มันเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือมันไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน บังคับมันไม่ได้ ฉะนั้นเราอย่าไปตามอารมณ์ ถ้าเราไปตามอารมณ์ เราก็จะเกิดทุกข์ ให้เราเพียงแต่ดูมัน พอคิดอะไรวูบขึ้นมาก็ให้รู้ให้เห็น พอเรากำหนดรู้มัน ความคิดจะหยุดทันที อย่างน่าอัศจรรย์ การที่ความคิดหยุด ไม่ปรุงแต่ง ก็เท่ากับว่า เราได้ทำลายกิเลสนั่นเอง เมื่อเกิดความคิดปุ๊บ เราเห็นปั๊บ ความคิดหายไป ไม่ปรุงแต่งเราก็ไม่ทุกข์ เพราะคนเรานั้นทุกข์เพราะความคิด เมื่อไม่ทุกข์ก็เป็นความดับเย็น หรือการดับไม่เหลือของทุกข์ นั่นแหละคือนิพพาน ซึ่งทุกคนปรารถนา
ดังนั้น วิธีปฏิบัติธรรมะแบบหลวงพ่อนี้ เป็นวิธีลัด สั้น ตรงที่สุด คือเกิดความคิดปุ๊บเห็นปั๊บ เรากำหนดรู้ คือสติทันความคิดนั่นเอง ความคิดจะไม่ปรุงแต่ง คือไม่เกิด เวทนา ตัณหา อุปาทาน เราก็ไม่ทุกข์ วิธีแก้เหตุให้เกิดทุกข์ เราจึงแก้ตรงนี้เอง คือเกิดความคิดปุ๊บ สติเห็นปั๊บ ดับปั๊บ เป็นความดับเย็น เป็นนิพพานไปเลย จะเป็นอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา
แต่ว่ากว่าจะมีความรู้สึกตัว มีสติติดต่อกันเป็นลูกโซ่ ทุกอิริยาบถนั้นไม่ใช่เป็นของง่าย ๆ เลย นักปฏิบัติทกคน จะต้องมีศรัทธา วิริยะพากเพียร คือเกิดญาณความคิด และญาณปัญญาเป็นอัตโนมัติในตัวของเรานั่นแหละคือผลของการเจริญสติ และเดินจงกรม จนสติหรือความรู้สึกตัวสมบูรณ์มาก ๆ แล้วจึงจะเทิดญาณชนิดนั้นขึ้น คือมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อมทุกอิริยาบถ เมื่อเราปฏิบัติจนเห็นผลแล้วนั่นแหละจะเป็นเเรงผลักดันให้เรามีความเพียรพยายามสูงขึ้นไปเรื่อย ๆ
ทำอย่างไร เราจึงจะเกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อม หรือมีสติติดต่อกันเป็นลูกโซ่ได้ ไม่มีวิธีอื่นใด นอกจากการเจริญสติ และเดินจงกรมมาก ๆ ทำติดต่อทันทุกวัน จะต้องบังคับตัวเองให้ขยันจริง ๆ จัง ๆ จะทำเหลาะ ๆ แหละ ๆ ไม่ได้ มิฉะนั้นจะไม่มีโอกาสเกิดญาณความคิด และญาณปัญญา คือมีความรู้สึกตัวทั่วพร้อม หรือมีสติติดต่อกันเป็นลูกโซ่อย่างเด็ดขาด
เมื่อขยันหมั่นเพียรจนเต็มความสามารถ จนเกิดญาณความคิดและญาณปัญญา มีสติสมบูรณ์มีความรู้สึกตัวติดต่อกันเป็นลูกโซ่แล้ว เราจะทำการงานได้ทุทอย่าง โดยมีสติ ความรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา คือวิธีวิปัสสนากรรมฐาน ทำให้เกิดการรู้แจ้ง เห็นจริง เป็นสัจธรรม จิตใจสะอาด สว่างสงบ จิตใจสะอาดจากกิเลส สว่าง คือ เกิดความรู้ รู้ว่าอะไรเป็นอะไร สงบจากกิเลส สงบอย่างนี้ สงบอย่างมีสติ ไม่ใช่สงบแน่นิ่งอย่างสมถกรรมฐาน สงบอย่างนั้นจะไม่เกิดปัญญา แต่สงบตามแบบของหลวงพ่อ สงบอย่างมีสติและเกิดปัญญา
การปฏิบัติธรรมะแบบนี้ นอกจากนำไปใช้กับการกับงานได้ทุกอย่างแล้ว ยังทำให้ทำการงานไม่ผิดพลาด เกิดอะไรขึ้น เมื่อเรามีสติอยู่ก็จะสามารถช่วยตัวเองให้พ้นภัยได้ และยังสามารถเอาไปแก้ปัญหาในชีวิตประจำวันของตัวเอง ของครอบครัวได้อย่างดียิ่ง ตลอดจนแก้ปัญหาให้คนอื่นได้อีกด้วย แม้กระทั่งปัญหาของสังคม
วิธีนี้เป็นวิธีปฏิบัติธรรมะครบสมบูรณ์ ที่ชื่อว่า อินทรีย์ 5 ได้แก่ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ และปัญญา ด้วยเหตุว่า ธรรมชาติของคนเรานี้เกิดมาเพื่อแก้ปัญหา จึงทำให้ทุกคนมีแต่ความทุกข์ เหตุไฉนทุกคนจึงมีแต่ความทุกข์ และมักจะแก้ปัญหาของตัวเองได้น้อยมาก เพราะอะไรหรือ ก็เพราะเหตุว่าทุกคนไม่รู้จักทุกข์ ไม่รู้ทุกข์ ไม่เห็นทุกข์ จึงออกจากทุกข์ไม่ได้
องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสอนให้พุทธบริษัทของพระองค์ท่านเรียนรู้การออกจากทุกข์เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ทางที่จะละและแก้ทุกข์ได้ก็มีวิธีเดียวเท่านั้น คือการบำเพ็ญเพียรทางจิตให้ละจากกิเลส คือ โลภ โกรธ หลง ได้
เท่าที่ดิฉันปฏิบัติมา 4-5 ปี แม้จะไม่รู้อะไรมากนัก แต่ก็สามารถพูดได้เต็มปากว่า วิธีนี้สามารถแก้ทุกข์ และปัญหาชีวิตได้จริงๆ จนไม่อาจจะเทียบค่าได้ เพราะอยู่ได้อย่างสมถะ คือรู้ความพอดี อยู่อย่างผู้ไม่มีความกังวล เป็นสุขตามธรรมชาติของมนุษย์ที่จะพึงมี และอยู่อย่างมีศีล สมาธิ ปัญญา อันได้แก่มรรคมีองค์ ซึ่งเป็นทางเอกทางเดียว หรือเอกมรรคที่แก้ทุกข์ได้ ถึงแม้จะมีน้อย ๆ เพราะมีสติปัญญาน้อยและความสามารถมีน้อย จึงเป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป แต่ถือหลักที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสเอาไว้ว่า วิริเยน ทุกฺขมจฺเจติ คนเราย่อมล่วงทุกข์เสียได้ เพราะความเพียรดังนี้