พระอาจารย์สงคราม ธมฺมวโร

พระอาจารย์สงคราม ธมฺมวโร
ป่าช้ากิ่งอำเภอแกดำ จังหวัดมหาสารคาม
ประวัติย่อ ๆ ของหลวงพ่อเทียน จิตตสุโภ
มีเพื่อนพระรูปหนึ่ง บอกเล่าให้ฟังว่า มีหลวงตารูปหนึ่ง ปฏิบัติธรรมด้วยวิธีที่แปลกจากสายอื่น โดยการยกมือเคลื่อนไหวไปมาแบบวิธีธรรมชาติ ไม่ให้อยู่เฉย ๆ เดินก็ให้เดินแบบธรรมดา ๆ ง่าย ๆ สบาย ๆ ไม่มีพิธีรีตองมาก แต่ก็เน้นที่จิตใจเป็นสำคัญ เมื่อสมัยก่อนฟังแล้วรู้สึกเฉย ๆ ไม่มีจุดสนใจอะไรมากนัก ขณะนั้นยังเป็นพระบ้านอยู่
เมื่อประมาณปี 2516-2517 ได้มีโอกาสมาร่วมปฏิบัติธรรมกับพระวิปัสสนาจารย์ที่วัดกระโจมทองจัดขึ้น ตรงกันข้ามกับวัดสนามในปัจจุบัน ได้พบเห็นหลวงพ่อเทียนครั้งแรก ตอนนั้นมีเพื่อนพระชี้บอกให้ดูกิริยาอาการของท่าน ระหว่างพบใหม่ ๆ ก็เหมือนหลวงตาทั่วไป ในความรู้สึกส่วนตัวครั้งนั้น ในช่วงนั้นไม่เหมือนปัจจุบันนี้ ท่านไม่มีบทบาทชื่อเสียงในการเผยแพร่เหมือนสมัยนี้ เทป หนังสือธรรมะของท่านไม่มากนัก ผู้แสวงหาสัจธรรมก็ไม่รู้จักท่าน อาตมาได้เพียงแต่แอบมองท่านห่าง ๆ ปิดอบรมแล้วก็จากกันไป
เมื่อกลางปี พ.ศ. 2522 พรรษาที่ 17 ของการบวช ได้มาพบหลวงพ่ออีกเป็นครั้งที่ 2 ที่วัดป่าหลังเขา บ้านบุฮม อำเภอเชียงคาน จังหวัดเลยเริ่มศรัทธาเลื่อมใสสนใจในการปฏิบัติจริงบ้างแล้ว จังหวะเหมาะกับท่านเปิดอบรมที่นั่นพอดี มีผู้ปฏิบัติเก่าและใหม่ไปร่วมหลายคน ความรู้สึกส่วนตัวซึ่งมีต่อหลวงพ่อขณะนั้นรู้สึกเฉย ๆ ไม่มีอะไรแปลกใหม่ไปกว่าพระอื่น ๆ ในวัดอื่น ๆ จะมีก็เพียงรูปแบบเล็ก ๆ น้อย ๆ พูดให้ฟังบ่อย ๆ กว่าที่อื่นก็เท่านั้น ฟังก็เอาแต่หูเนื้อฟัง ไม่ได้เอาใจฟังเหมือนเดี๋ยวนี้ การดูก็เช่นเดียวกันใช้แต่ตานอก มองออกนอกตัวอยู่ตลอด ไม่ค่อยได้สนใจมองย้อนกลับเข้ามาดูตัวเองเลย เท่าที่สังเกต จึงมีแต่ความทุกข์ความสับสนไม่เห็นคุณค่าส่วนในของผู้มีธรรม
ประวัติส่วนตัวหลวงพ่อ ตั้งแต่พบเห็นครั้งแรก ช่วงกลางและครั้งสุดท้ายถึงปัจจุบัน ท่านจะปฏิบัติสม่ำเสมอมาตลอด ขณะไหน เมื่อใด ได้พบเห็นหลวงพ่อ รู้สึกว่ามีความละอายต่อตัวเอง ต่อปฏิปทาของท่านที่แสดงออกให้เราเห็น ชีวิตประจำวันของท่าน จะเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย เท่าที่อยู่เป็นประจำ ส่วนประวัติละเอียดนั้น ท่านเคยเล่าให้ฟังบ้างเป็นครั้งคราว
สมัยก่อน ๆ ท่านบวชเป็นสามเณร เมื่ออายุ11 ปี เคยทำกรรมฐานกับพระผู้ใหญ่ซึ่งเป็นญาติใกล้ชิด โดยไปเรียนคาถาอาคมหลายอย่าง บรรยายธรรมบางครั้ง ท่านก็นำเอาประวัติประสบการณ์มาเล่าสู่ผู้ปฏิบัติฟัง เรื่องการทำบุญให้ทานรักษาศีล ตามประเพณีที่เคยกระทำ รวมทั้งการสร้างโบสถ์ก็เคยทำมาแล้ว ว่าได้บุญมากเป็นพิเศษ ครั้งสุดท้ายได้มาเจริญสติแบบการเคลื่อนไหว ได้เข้าใจสัจธรรม เข้าใจรูป-นามตามความเป็นจริงมั่นใจในสัจธรรมซึ่งเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างหายสงสัย กล้ารับรอง ท้าทายให้ผู้สนใจศรัทธาพิสูจน์อยู่เป็นประจำเรื่อยมา จะมีผู้สนใจแสวงหาสัจธรรมมาปฏิบัติกับท่านอยู่เสมอเป็นประจำไม่ได้ขาด ระยะหลังมีผู้รู้ตามเห็นตามกันมาก ที่เขียนมานี้ไม่ละเอียดนัก เป็นแต่ได้รู้เห็น อยู่ร่วมช่วงเวลาสั้นและน้อย
กิจวัตรประจำวันของท่าน สมัยก่อนเคยจำพรรษาปฏิบัติอยู่ร่วมกันกับท่าน อายุท่านยังไม่มาก ร่างกายยังแข็งแรงอยู่ ตื่นเช้ามา ก่อนทำวัตร จะเห็นท่านปรารภความเพียร เดินจงกรมเป็นประจำไม่ได้ขาดทุกวัน จะสอนโดยการปฏิบัติให้ดู อยู่ให้เห็น เป็นส่วนมาก เป็นพระผู้เฒ่าที่ขยันอยู่เฉย ๆ ไม่เป็น ไม่ว่าจะเป็นส่วนร่างกายหรือจิตใจ ต้องหางานทำอยู่ตลอดทั้งวัน ได้เวลาก็จะทำวัตรไม่ได้ขาด ทำวัตรแปลจบ ก็จะมีการบรรยายธรรมภาคปฏิบัติทุกวัน เช้าเย็น เพื่อเป็นการกระตุ้นเตือนให้ผู้ปฏิบัติเกิดศรัทธา มีกำลังใจในการศึกษาปฏิบัติยิ่ง ๆ ขึ้นไป การฉันอาหาร ไปไหนมาไหน เข้าใจว่าเป็นการปฏิบัติธรรมหมด เข้าใจว่าเป็นการสอนธรรมะแก่ผู้พบเห็นตลอด อันนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัว กิจวัตรประจำวันอื่นก็เหมือนกับพระอื่น จะต่างกันอยู่ตรงที่ว่าท่านมีสติรู้สึกตัวต่อเนื่องเป็นระยะยาวนานต่างกันเท่านั้น
ความประทับใจเกี่ยวกับหลวงพ่อที่เคยอยู่ร่วมกันที่เห็นได้เด่นชัดคือ ท่านจะอยู่อย่างไม่มีทุกข์ อยู่อย่างอิสระทางด้านจิตใจมากที่สุด จะอยู่ไหน ไปไหน ที่อยู่ไปอย่างสบาย ควบคุมความรู้สึกได้ดีมาก ไม่ว่าอยู่ในอิริยาบถน้อยใหญ่ ยืน เดิน นั่ง นอน จะปฏิบัติอยู่อย่างเสมอต้นเสมอปลายมาตลอด จะพูดน้อย พูดในสิ่งที่จำเป็นเป็นสาระเท่านั้น ไม่คลุกคลีกับหมู่คณะตั้งแต่เริ่มเห็นมา เมื่อมีธุระจำเป็นจะไปพบกับใครก็พูดเฉพาะเรื่องที่ต้องการเท่านั้น มีความพร้อมเรื่องสติ รู้สึกตัวอยู่เสมอ
สิ่งที่ประทับใจที่สุด ก็คือ อ่านหนังสือไม่ค่อยออก เขียนไม่ชำนาญ แต่สามารถเข้าใจสัจธรรมได้อย่างละเอียดลุ่มลึก เข้าใจว่า ที่ท่านค้นพบเกิดจากการขยันหมั่นเพียรพยายาม ด้วยการใช้ภาวนาให้ปัญญาเกิด เจริญสติแบบการเคลื่อนไหวนี้แน่ ซึ่งท่านเน้นอยู่ สอนอยู่เป็นประจำ เรื่องความประทับใจส่วนอื่น ๆ ยังมีอยู่อีกมาก
การเผยแพร่ธรรมะของท่าน เท่าที่เห็นไม่มีอุปกรณ์ เอากาย-ใจเป็นอุปกรณ์จะเน้นเรื่อรูป-นามเป็นหลัก จะพูดให้ฟังบ่อย ๆ เป็นประจำ เช้า-กลางวัน-เย็น ตลอดมา ถ้าอยู่ประจำไม่ได้ไปไหน ไม่ได้อยู่เฉย ได้บทเรียนภาคปฏิบัติโตยเฉพาะ มุ่งให้เกิดสติปัญญา เอามาดับทุกข์ ดับร้อนได้ในชีวิตประจำวันจริง ๆ ยังได้บทเรียนพิเศษอยู่เสมอ ได้นำการเจริญสติวิธีนี้ไปประยุกต์กับการกับงานได้โดยไม่ขัดข้อง
นอกจากบรรยายธรรมเป็นประจำแล้ว ยังติดตามถามผลของการปฏิบัติ สำหรับผู้ปฏิบัติติดต่อด้วย บางครั้งก็ให้ผู้มีศรัทธาปฏิบัติอย่างอุกฤษฏ์ต่อเนื่องเป็นระยะหลายวันก็มี เรียกว่า เก็บอารมณ์ ท่านทำให้ดูอยู่ให้เห็นเป็นส่วนมาก บางโอกาสก็ไปเปิดอบรมตามต่างจังหวัดครั้งละ 5 วัน 7 วัน ตามแต่ความเหมาะสมแต่ละสถานที่
ผลของการปฏิบัติส่วนตัว มีความรู้สึกว่า มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจอยู่มาก คิดว่าได้พบชีวิตใหม่ มีความเชื่อมั่นในตัวเอง สบายใจหายสงสัยสิ่งที่เคยสงสัย เห็นที่เกิดของความกลัว ความทุกข์ร้อนทางด้านจิตใจ เข้าใจชีวิตขึ้นมาก คิดว่าไม่เกิดมาเสียชาติ ที่ได้พบวิธีเข้าถึงสัจธรรมในทางพระพุทธศาสนา ถือว่าเป็นสิ่งที่ประเสริฐอัศจรรย์จริง ๆ สมกับผู้รู้ตรัสว่า เป็นสิ่งที่ผู้รู้ก็รู้ได้เฉพาะตน ขอรับรองว่าเป็นเรื่องจริง ถ้ามีการปฏิบัติจริง ๆ ต้องรู้จริง เห็นจริง ดับทุกข์ร้อนทางด้านจิตใจได้จริง ๆ
ประสบการณ์การปฏิบัติธรรม
ความทะยานอยากเป็นต้นเหตุให้มนุษย์เรามีการแสวงหา แสวงหาไปตามสติปัญญา ฐานะหน้าที่ของตนหรือสัญชาติญาณของสัตว์โลก สัตว์สี่เท้า สองเท้า เลื้อยคลาน ก็มีการท่องเที่ยวหาเหมือนกับมนุษย์ แต่มนุษย์เรามีแนวความคิดมาก สติปัญญาฉลาด สามารถหาสิ่งที่ต้องการได้มากกว่าเพราะความรักชีวิตจิตใจตัวเองทั้งมนุษย์และสัตว์ทุกชนิด เพื่อความอยู่รอดของชีวิต เป็นเรื่องธรรมชาติธรรมดาของสรรพสัตว์ จะผิดธรรมดาอยู่ตรงที่ว่า หาได้เท่าไรก็ไม่พอ กินเท่าไรก็ไม่อิ่ม อิ่มไม่เป็น ไม่รู้จักพอ เรื่องนี้สำคัญมาก อยากไม่มีขอบเขต อยากไม่ได้ควบคุม ตัณหาพาไปให้เกิดทุกข์ ความไม่รู้หรือรู้ไม่ทันทุกข์โทษของความอยาก ก็เป็นชนวนให้เกิดความอยาก มันเกาะเกี่ยวกันอยู่ตลอดเวลา สิ่งที่กล่าวมาข้างต้นสามารถบันดาลให้ผู้เขียนกลับใจเข้ามาศึกษาธรรมภาคปฏิบัติ
ส่วนประสบการณ์การปฏิบัติที่ได้พบ เห็น รู้ เป็นที่แปลกใจน่าอัศจรรย์อยู่มากเอาทีเดียว เรื่องจริงนี้เป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อนมาก ไม่สามารถที่จะมองเห็นได้ด้วยตาเนื้อหรือสัมผัสกันได้ด้วยวัตถุภายนอก ในขณะที่อยู่ปฏิบัติกับหลวงพ่อนั้น ท่านช่วยอนุเคราะห์ชี้แนะแนวทางให้ถึงวิธีอุบายการเจริญสติแบบการเคลื่อนไหว
ใหม่ ๆ รู้สึกจะยากอยู่ไม่น้อย เพราะไม่เข้าใจเรื่องภาษาใจด้านในที่หลวงพ่อท่านใช้อยู่ประจำ ไม่คุ้นเคยกับสำเนียงของท่านด้วย ถูกความไม่รู้ห่อหุ้มใจมาตลอดเวลาอันยาวนานหลายปี กว่าจะได้เข้ามาทางนี้ ท่านจะสอนเป็นกลุ่มมาก ๆ รวมกัน ตอนทำวัตรเช้าเย็นเสร็จ บางโอกาสท่านสอนหลังจากฉันเข้า-เพลอีก เป็นการเน้น ย้ำเตือนให้ผู้ปฏิบัติเกิดกำลังใจศรัทธา
คำสอนที่ท่านพยายามย้ำแล้วย้ำอีกคือ ให้เข้าใจเรื่องรูป-นาม เป็นประจำ ให้ทำความรู้สึกตัวอยู่บ่อย ๆ ถ้าผู้ใดปฏิบัติติดต่อกันดี มีความขยันในการปฏิบัติ ท่านก็จะติดตามอย่างใกล้ชิด ท่านตั้งใจสอน มุ่งหวังที่จะให้ผู้ปฏิบัติเข้าใจสัจธรรมอย่างแท้จริง ต้องการให้ผู้สนใจเกิดสติปัญญา แก้ปัญหาชีวิตได้ ดับทุกข์ดับร้อนในชีวิตประจำวันได้จริง ๆ
ท่านใช้ความเพียรพยายามเรื่องนี้มาตลอดตั้งแต่เริ่มเห็นท่านมา ไม่ลดละความเพียรพยายาม ขยันพูดธรรมะ รับแขก ตอบปัญหาผู้สนใจมาถามอยู่เป็นประจำ ส่วนผู้ปฏิบัติตามท่านอาศัยการฟังจากการสอน แล้วก็ปฏิบัติควบคู่กันไป หลายวันหลายเวลาเข้า จิตใจที่เคยคิดถึงอดีต วกวนอยู่กับอนาคตอยู่เป็นประจำก็ค่อย ๆ ถูกลืม เริ่มรู้สึกตัวเป็นปัจจุบันขึ้นตามลำดับ จิตใจก็มาคิดถึงคำสอนอยู่เรื่อย จะทำจะพูดก็ดี จิตจะคิดถึงคำสอนอยู่เป็นประจำ เป็นการกระตุ้นเตือนอย่างดี
การฟังบ่อย ๆ แล้วก็ทำตามคำสอน ผลก็เริ่มปรากขึ้นแบบที่ผู้ปฏิบัติไม่สึกตัว ยอมรับความจริงจากการสอนมากขึ้น บางครั้งก็คัดค้านคำสอนอยู่ในใจ โต้เถียงคัดค้านอยู่หลายครั้งเมื่อเริ่มปฏิบัติ บางครั้งก็วิพากษ์วิจารณ์คำสอนไปต่าง ๆ นานาก็มี มาสังเกตดูในช่วงหลังจึงได้รู้ว่า ตัวทิฐิ มานะ ยังไม่ลด
ระหว่างปีที่ปฏิบัติอยู่ งานด้านนอกไม่มี มีการปฏิบัติอย่างเดียว ระยะนั้นสุขภาพหลวงพ่อยังแข็งแรงดี โรคเบียดเบียนน้อย นอกจาการพูดให้ฟังแล้ว ท่านยังปรารภความเพียรเป็นตัวอย่างให้ดูเป็นประจำทุก ๆ วันอยู่หน้ากุฏิ พาให้ผู้ปฏิบัติมีกำลังใจ ไม่ใช่พูดสอนเฉย ๆ เป็นการสอนโดยทำให้ดู อยู่ให้เห็น รู้สึกว่าได้รับความอบอุ่นใจ มีกำลังใจขณะที่ได้เห็น ได้อยู่ใกล้ท่าน ผู้รู้
ปีนั้นผู้ปฏิบัติล้วนแต่มีศรัทธาเลื่อมใสมุ่งปฏิบัติกันจริงเป็นส่วนมาก อุปสรรคในการอยู่ร่วมกันไม่ค่อยมี อยู่ปฏิบัติต่อมาหลายวัน เป็นแรมเดือน ความเกิดจากการฟัง คิด ผลของการปฏิบัติภาวนาก็ตามมา จนกระทั่งว่าเคลื่อนไหวไปมาเกิดแปลกใจว่า ความรู้อันนี้ไม่เคยรู้ ไม่เคยมีมาก่อน เข้าใจอย่างนั้น ตัวปัจจุบันก็รู้ชัดขึ้น
เมื่อก่อนได้ยินว่า ให้อยู่กับปัจจุบันมาก ๆ แต่มันยังไม่มี ไม่เป็น พอมีพอเป็นเช้า รู้ได้เลยว่าเป็นอย่างนี้เอง การอยู่กับปัจจุบันเป็นอย่างนี้ มีความเชื่อมั่นศรัทธาในการปฏิบัติไม่ท้อถอย เพราะเห็นการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจ กิริยาอาการทางด้านรูปกาย ยืน เดิน นั่ง นอน อิริยาบถใหญ่น้อยที่เคลื่อนไปมา เกิดมีความรู้สึกขึ้นมา มันจะเป็นเองในขณะที่เราดูมาตลอด อาศัยการเคลื่อนไหวเป็นสิ่งต่อรอง แต่ก็ต้องอาศัยเวลาในการกระทำอยู่พอสมควร ก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านในการฟังบ่อย ๆ ทำบ่อย ๆ เป็นเรื่องที่ดีมาก ถึงรู้หรือไม่รู้ จำได้หรือไม่ได้ ก็ฟังไป ทำมาก ๆ ไม่หยุด มันเกิดผล เห็นผลเอง จนเป็นนิสัย เป็นความเคยชินอย่างหนึ่ง
หลวงพ่อมีวิธีการสอนหลายรูปแบบ บางครั้งท้าทายให้พิสูจน์ว่าต้องเป็นเหมือนที่ท่านพูด รับรองคำพูดของท่านเอง ยิ่งชวนให้อยากรู้มากขึ้นอีก เพิ่มการปรารภความเพียร พาให้ไม่เบื่อหน่ายต่อการปฏิบัติ ได้ยินบ่อย ๆว่า มันจะเป็นเอง รู้เอง เห็นเอง เมื่อก่อนสงสัยคำสอนเหล่านี้มาก แต่บัดนี้ความสงสัยเหล่านั้นได้จากไปนานแล้ว
ท่านจะสอนให้คิด สอนในรูปแบบปริศนาธรรม ผู้ฟังก็ชอบเก็บเอาไปคิด มุ่งที่จะให้ผู้ทำเข้าไปสัมผัสกับความคิด รู้เห็นความคิด เพราะความคิดนี้สำคัญ ยิ่งปฏิบัติไปฟังไปความสงสัยลดลงไปเรื่อย ๆ แล้วก็มีความคิดใหม่ ๆ แปลก ๆ ผุดขึ้นมา ผุดขึ้นมาให้เห็น เป็นความคิดที่ดีทั้งนั้น จิตใจที่เคยเก็บกักอารมณ์ เกาะเกี่ยวอยู่กับสิ่งที่ไม่ดีเมื่อก่อน มันเกิดปล่อยวางได้ ใจที่เคยหนักกลับเป็นเบา ที่เคยวุ่นเกิดเป็นว่าง ใจมันเปลี่ยนต่างเก่ามาก ไม่เป็นเหมือนก่อนเสียแล้ว ตั้งใจคิดทบทวนดูอดีตที่ผ่านมา การกระทำ พูด คิด จะเป็นไปโดยสัญชาติญาณเดิมแท้ ๆ มีตัวรู้อยู่น้อย น้อยนิดเดียว สังเกตต่อไปอีก บางครั้งไม่รู้เลย เป็นการกระทำแบบลืมตัวชัด ๆอันนี้เป็นสัจจริง จากการเฝ้าดูตัวเอง ตั้งแต่เริ่มต้นปฏิบัติมา
การเห็นความคิด เห็นจิตใจ เห็นอารมณ์ เห็นการเกิดดับ คำพูดเหล่านี้เคยได้ยิน เคยอ่านรู้ แต่ของจริงที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป ไม่เห็น ไม่ทัน พอมาเห็นความคิด รู้ความคิดเข้า มันหยุด เห็นแล้วไม่ปรุงแต่งต่อไปอีก ถึงจะปรุงแต่งก็เห็นเข้าใจ ความรู้เกิดจากการภาวนา ที่เรียกว่าภาวนามยปัญญา เข้าใจที่ท่านผู้สอนแนะนำ ทิฐิมานะที่เคยคัดค้านโต้เถียงอยู่ในใจว่าเรามีเราเป็น เรารู้ หายไป เกิดละอายใจในการกระทำของตัวเอง เรารู้ไม่จริง
ตั้งแต่นั้นมาถึงบัดนี้ เห็นทุกข์โทษของการรู้ไม่จริง ไม่รู้เผลอสติลืมตัวน่ากลัวมาก น่ากลัวจริง ๆ ศัตรูที่น่ากลัวที่สุด ก็คือ เราไม่เห็นความคิดไม่เห็นจิตใจตัวเอง 1
เมื่อมาสร้างตัวรู้ ปลูกเขย่าธาตุรู้ ที่มีอยู่แล้วในตัวให้เกิดตื่นตัวตื่นใจขึ้น โดยการได้ฟัง ได้รับการแนะนำวิธีการจากท่านผู้รู้ ความรู้นอก ๆ หยาบ ๆ คือ ยืน เดิน นั่ง นอน จะเกิดรู้ขึ้นมา ในขณะที่เรากำหนดค่อย ๆ บ่อย ๆ เข้า เคลื่อนไปมาก็จะรู้ ไม่ใช่รู้แบบคิดเอาเดาเอา รู้เกิดจากการทำภาวนาจริง ๆ ค่อย ๆ รู้ รู้แบบเงียบ ๆ ละเอียดมาก ต่อ ๆ ไปความรู้ก็ขยายมากขึ้น เป็นการรู้สึกตัวทั่วพร้อมหมดทั้งตัว จะไปไหนมาไหนก็รู้เป็นเอง กำหนดไม่กำหนดก็รู้ รู้จักรูป-นาม ขึ้นมา กะพริบตาก็รู้ ทำไป ๆ หายใจรู้อีก ล้วนแต่รู้เอง เป็นเองทั้งนั้น ไม่ต้องไปกำหนดลมหายใจโดยเฉพาะ อาศัยการกระทำต่อเนื่องจากการเดินจงกรม เฝ้าดูการเคลื่อนไหวนอก ๆ เป็นฐาน ส่งผลให้ไปถึงตัวละเอียด จนกระทั่งเห็นความคิด เมื่อเห็นความคิดแล้ว เห็นที่มาของความทุกข์ ทุกข์ก็เบาบางลง เข้าใจคำว่า ญาณปัญญาเกิด สิ่งที่สงสัย หายสงสัย รู้วัตถุ ปรมัตถ์ อาการ ที่ท่านผู้สอน เป็นความรู้ เป็นความเข้าใจซึ่งไม่เคยมีมาก่อนในชีวิต หรือจะบอกว่าเป็นการเกิดใหม่ทางด้านจิตวิญญาณก็ได้
จิตใจก็เปลี่ยนแปลงต่างกว่าเมื่อก่อนมาก มีความเคารพศรัทธาเลื่อมใสพระพุทธเจ้า ที่ค้นพบธรรมวิเศษ สมกับเป็นศาสดาเอกของโลก และหลวงพ่อเทียน ที่เป็นเทียนส่องทางการเจริญสติ ให้ได้พบชีวิตใหม่ มีความเชื่อมั่นในตัวเองมาก ในการศึกษาปฏิบัติแบบเคลื่อนไหว ขอรับรอง เป็นทางดับทุกข์ ดับร้อนในชีวิตประจำวันได้จริง แม้เราผู้มาปฏิบัติจะไม่รู้ มืดบอด มีความอยากมาก ควบคุมใจไม่อยู่ ซึ่งทำให้เกิดทุกข์ จะทุกข์มากี่วัน ที่เดือน กี่ปีก็ตาม ไม่ต้องไปพูดและสนใจถึงเรื่องทุกข์แต่ขอให้มาเจริญสติแบบเคลื่อนไหว ลองดู ต้องทำด้วยศรัทธาทำจริง ๆ ตามท่านผู้สอน ๆ ให้ เมื่อสติปัญญาเกิดแก่กล้าแหลมคม จะไปทำหน้าที่ดับทุกข์ได้เอง