พระมหาบัวทอง พุทฺธโฆสโก

พระมหาบัวทอง พุทฺธโฆสโก
ทับมิ่งขวัญ อำเภอเมือง จังหวัดเลย
1. ประวัติของหลวงพ่อเท่าที่ผมทราบมา
หลวงพ่อเคยเป็นผู้ใหญ่บ้านบุฮม แต่ท่านเขียนหนังสือไทยไม่ได้เพราะสมัยนั้นยังไม่มีโรงเรียน ท่านเรียนแต่หนังสือธรรมและตัวหนังสือลาว ในระหว่างเป็นผู้ใหญ่บ้านอยู่นั้น ท่านได้สร้างโรงเรียน สร้างสะพานข้ามน้ำสายไปโรงเรียนและตัดถนนสายบุฮมไปบ้านผาแบ่นจนสำเร็จ
ท่านเป็นคนชอบทำบุญ สร้างโบสถ์ที่บ้านอุมุงไว้หลังหนึ่ง และเคยฝึกกรรมฐานมาตั้งแต่ยังเป็นเณร ผู้คนอยู่ในเขตตำบลบุฮมนั้นรู้จักท่านดีมาก หลวงพ่อเป็นคนมีฐานะดี มีเรือกลไฟวิ่งระหว่างเชียงคาน-หนองคาย ค้าขายอยู่ในสมัยนั้น ท่านไม่เคยเป็นหนี้ใคร ทำการค้าอยู่หลายปี ก็ได้ความคิดว่า คนที่มีเงินยังมีความทุกข์อยู่ บางครั้งทุกข์มากกว่าคนจนซ้ำไป จึงทำให้ท่านคิดหาวิธีที่จะไม่ให้มันทุกข์ อยู่ต่อมาก็ได้ยินข่าวว่า อำเภอศรีเชียงใหม่เปิดอบรวิปัสสนากรรมฐาน จึงไปปฏิบัติอยู่กับหลวงพ่อวันทองหนึ่งพรรษา เมื่อออกพรรษาแล้วก็กลับมาเปิดสำนักอยู่ที่บ้านบุฮม อันเป็นบ้านเกิดของท่านเองเป็นเวลาหลายปี จึงออกบวช ไปอยู่กับอุปัชฌาย์เจ้าคณะอำเภอเชียงคานหนึ่งปี หลังจากนั้นก็ไปอยู่ฝั่งลาวบ้าง จนกระทั่งได้มาพบกับผม อยู่ที่วัดโนนสวรรค์ บ้านนาอ้อ ในปี พ.ศ. 2507 นี้เองท่านจึงมีโอกาสได้พูดธรรมะ ต่อ ๆ มาก็มีคนรู้จักวิธีการปฏิบัติธรรมของท่านมากขึ้นเช่นในปัจจุบันนี้
2 ครั้งแรกที่พบกับหลวงพ่อและเหตุการณ์ต่าง ๆ
ในปี พ.ศ. 2507 นี้เอง เป็นปีที่อาตมาได้มาพักอยู่ที่ถ้ำผาปู่เป็นเวลา 1 เดือน อาตมาเป็นพระมหานิกาย เมื่อถึงวันอุโบสถจำเป็นต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ หรือไม่ก็ต้องขึ้นไปอยู่บนชะง่อนผา เพื่อให้พ้นเขตแดนแห่งสังฆกรรม นับเป็นกรรมอันน่าเวียนหัวจริง ๆ ไม่ทราบว่าบรรพบุรุษแห่งศาสนาได้แบ่งพรรคแบ่งพวกกันออกตั้งเเต่เมื่อไร
ด้วยเหตุนี้อาตมาจึงคิดว่าธรรมะนี้ คงจะไม่มีเหนือ-ใต้ ดำหรือแดง จำเป็นเราต้องกลับคืนไปอยู่ดงลานผานกเค้า ปฏิบัติแบบพอง-ยุบ เห็นจะดี แต่บังเอิญเงินค่ารถหมดไม่มีเหลือ ทำให้อาตมานึกถึงพระหลวงตาที่อยู่วัดโนนสวรรค์ เพราะเวลาออกบิณฑบาตเดินสวนทางกันทุกวัน หลวงตาที่ว่านั้นก็มิใช่ใครอื่น ก็ได้แก่หลวงพ่อเทียนของเรานี้เอง ตกเย็นวันนั้นอาตมาก็แบกกลดสะพายบาตรออกจากล้ำผาปู่ มุ่งหน้าไปยังวัดโนนสวรรค์ทันที พอดีเป็นเวลาว่าง ท่านนั่งคุยอยู่กับหลวงพ่อเพชร อาตมาวางบริขารเสร็จก็เข้าไปกราบท่านทั้งสองรูป
หลวงพ่อถามอาตมาว่า มาจากไหน ?”
อาตมาตอบว่า มาจากถ้ำผาปู่
หลวงพ่อถามอีกว่า ได้กี่พรรษาแล้ว ?”
ห้าพรรษาออกนี้แหละครับ
พอพูดจบหลวงพ่อก็ลุกเดินไปหยิบเอากระติกน้ำร้อนมาวางตรงหน้าอาตมา แล้วท่านก็กราบอาตมา
อาตมายกมือบอกท่านว่า ไม่ต้องหรอก หลวงพ่อ
ท่านก็ได้ด้วยสำเนียงเมืองเลยว่า ไม่เป็นไร” แล้วหัวเราะ
อาตมาสี่ หลวงพ่อนี้หก
พร้อมกับมือชี้ไปทางหลวงพ่อเพชร พวกเราสามคนพรรษาเรียงกันพอดี
ท่านยังถามอาตมาอีกว่า มาเพื่อประสงค์อะไร” และจะไปไหน
อาตมาก็เล่าให้ท่านฟังจนหมดเรื่องและบอกความในใจว่า จะมาขอเงินค่ารถจากหลวงพ่อ แล้วจะไปปฏิบัติอยู่ที่ดงลาน
ท่านก็เลยพูดให้ความหวังว่า พวกเราอยู่ด้วยกันที่นี่ก็ดี ต่างคนต่างก็ปฏิบัติด้วยกัน เมื่อผู้ใดพบก่อนก็จะได้บอกแก่กันและกัน คงจะพอมีหวังอยู่สัก 80% พออาตมาได้ยินคำว่า 80% อาตมาก็คิดมั่นใจอยู่ว่า เราจะต้องลองทำดูให้ได้
พออาตมาพบกับหลวงพ่อได้เพียง 2 วัน อาตมาก็หัดทำจังหวะในวันที่สอง หลังจากทำวัตรเสร็จแล้ว ตามปกติหลวงพ่อท่านก็พูดอบรมพระเณรเป็นประจำ ทั้งเช้าและเย็น หลังจากนั้นพวกเราก็พากันแยกย้ายเข้าห้องปฏิบัติ
ในวันนั้นอาตมายังไม่ได้ตั้งใจจะปฏิบัติ เป็นแต่เพียงทำเพื่อไม่ให้ลืมจังหวะเท่านั้น คิดว่าพรุ่งนี้ เราจะทำให้แตกหักไปเลย พออาตมานึกเช่นนั้น ทันทีก็เกิดภาพนิมิต ให้อาตมาเห็นตัวของตัวเองนั่งอยู่บนหัวนอนเป็นภาพชัดเจน แต่ไม่มีศีรษะมีแค่คอลงมา ทำให้อาตมาใจหายวาบ ๆ เศร้าสลดลงทันที ทำให้อาตมาลืมจังหวะไปหมด
หลังจากนั้นก็ไม่ได้พิจารณาอะไรเลย เพราะดึกมากแล้ว คิดแต่ว่าพรุ่งนี้จะทำให้แตกหักเลย
พอตื่นเข้าหลังฉันเสร็จ หลวงพ่อก็เข้าไปหาอาตมา ถามว่า เป็นอย่างไรบ้าง
อาตมาก็เล่าให้ท่านฟังว่า ผมยังไม่รู้อะไรเลยครับหลวงพ่อ เพียงแต่ได้เห็นภาพตัวเองคอขาดไม่มีศีรษะ แล้วก็เกิดความสลดในใจเท่านั้น
หลวงพ่อก็พูดขึ้นว่า ลองทำจังหวะดูซิ อาจารย์
อาตมาก็ทำจังหวะให้ท่านดู ท่านชี้บอกให้อาตมาพิจารณาว่าอะไรกันแน่ เคลื่อนไหวอยู่นั่น ใช่รูป-นามไหม ?”
อาตมาก็นึกพิจารณาอยู่สักครู่หนึ่ง ก็ตอบท่านว่า ใช่
หลวงพ่อพูดอีกว่า พริบตา หายใจ คิดนึกอยู่นั้นเป็นอะไร ให้พิจารณาตรงนี้ พอดูจบท่านก็เดินออกจากห้องไป พร้อมกับพูดว่า พิจารณาให้ดี ๆ
วันนั้นตลอดวันอาตมานั่งทำจังหวะพิจารณาการเคลื่อนไหว เข้าใจรูป-นาม ทั้งไตรลักษณ์ การพริบตา หายใจและคิดนึก ก็นั้นแหละรูป-นาม เป็นทุกขัง เป็นอนิจจัง เป็นอนัตตา เป็นเกิด เป็นดับ ทุกอิริยาบถเช่นกัน ทำให้อาตมาพอใจข้อแนะนำของหลวงพ่อ อาตมาเข้าใจรูป-นามชัดเจน อารมณ์ของวิปัสสนาให้เอาสั้น ๆ แค่นี้ ที่รู้ออกไปมากนั้นเป็นความรู้ของวิปัสสนูและจินตญาณ
ต่อมาอีกสามวัน หลวงพ่อชี้ให้ดูจิต บำเพ็ญทางจิตต่อไป ตอนนี้อาตมาทำอยู่สองเดือนเต็ม ๆ จึงเข้าใจอารมณ์ของปรมัตถ์ การรู้อารมณ์ตอนนี้ไม่ใช่เราหมดกิเลส เป็นเพียงรู้ต้นทางว่า ผู้จะหมดทุกข์ต้องเดินทางนี้ คือ ให้เห็นตอคือ ขวากหนามที่จะต้องหลบไม่เดินชน วัตถุ ปรมัตถ์ อาการ ของมันคือ โทสะ โมหะ โลภะ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ กิเลส ตัณหา อุปาทาน กรรม ในปฏิจจสมุปบาท แต่อย่าไปทำการวิจารณ์หรือวิจัย เพราะตกอยู่ในอำนาจ วิตก วิจาร ท่านจะไม่พบกับเอกภาพจิต ผู้ที่เรียนมามากยิ่งยากที่จะเป็น ลำบากที่จะเข้าใจ จึงทำให้อาตมาพอใจในข้อปฏิบัติ ข้อแนะนำของหลวงพ่อมาก ที่อาตมาเล่ามานี้เป็นเพียงบางส่วนของการปฏิบัติ
การบำเพ็ญทางจิต คือ การเฝ้าดูจิตคิดนึก คิดก็ให้รู้ ไม่คิดก็ให้รู้ พร้อมทั้งทำจังหวะไปด้วย เพื่อช่วยไม่ให้ง่วง เมื่อก่อนหลวงพ่อไม่พูดอะไรมาก ท่านจะแนะพวกเราโดยเอาก้านไม้ขีดไฟสองก้าน หันหัวไม้ขีดใส่กัน แล้วก็เอานิ้วชี้ขีดผ่านก้านไม้ขีดทั้งสองให้แยกจากกัน พร้อมกับพูดว่า ดูให้มันขาดออกอย่างนี้ ช่วงนี้อาตมาทำอยู่สองเดือน จึงรู้สึกตื่นตัวในทางปฏิบัติ โดยไม่ต้องสงสัย และอีกสองปีต่อมาอาตมาจึงเข้าใจเรื่องที่สุดแห่งทุกข์ คืออะไรกันแน่
คำพูดในตำรามีว่า จบพรหมจรรย์ ตัดพระเกศาครั้งเดียว ส่วนคำพูดของหลวงพ่อก็ว่า ทำให้ขาด ให้จืด ให้ตาย ทำให้อาตมาเข้าใจพุทธศาสนานี้ว่า เป็นศาสตร์เหนือศาสตร์ เป็นปรัชญาเหนือปรัชญา เป็นจิตเหนือจิต เป็นธรรมเหนือธรรม และไม่เลือกบุคคล ประพฤติได้ทุกคน และเข้าใจได้ไม่ต้องผ่านการศึกษาก็เข้าใจได้ พวกมีการศึกษามาก ยิ่งยุ่งยากเพราะมัวแต่ติดตำราหลักสูตร มักอ้างพระคัมภีร์ ลืมนึกไปว่า พระศาสดาไม่เคยเขียนคัมภีร์เลยสักเล่มเดียว อาตมาจึงเข้าใจว่า พุทธศาสนา คือ ศาสนาแห่งการทำให้จิตเป็น” เท่านั้น
3 ปฏิปทาของหลวงพ่อ
หลวงพ่อเป็นพระที่อยู่ง่ายกินง่าย วางตัวเหมาะสมกับสังคมทุกระดับ ถึงแม้จะเป็นพระหลวงตาก็จริง แต่จะหาพระหลวงตาเหมือนหลวงพ่อได้ยากมาก แม้กระทั่งลูกศิษย์ลูกหาของท่านเอง ก็ยากที่จะเสมอหรือทำตามท่านได้
เมื่อเวลาพักผ่อนไม่ว่ากลางคืนหรือกลางวัน นักปฏิบัติผู้ใดเกิดขัดข้องปัญหาอะไร ให้ไปหาท่านได้ทุกเวลา ท่านพร้อมที่จะแก้ไขให้ได้เสมอ
4 กิจวัตรประจำวันของหลวงพ่อ
กิจประจำวันชนิดหนึ่งที่หลวงพ่อไม่เคยละเว้น คือ การเดินจงกรม พร้อมทั้งการหลับและการตื่น ตามปกติหลวงพ่อจะนอนระยะสามหรือสี่ทุ่ม และตื่นเวลาตีสามตีสี่ เมื่อร่างกายท่านยังแข็งแรงอยู่ หลวงพ่อต้องเดินจงกรมทั้งเช้าและเย็นไม่เคยขาด
เมื่ออาตมามาอยู่กับหลวงพ่อ ท่านต้องเพิ่มกิจอีกประเภทหนึ่ง คือการหัดเขียนหนังสือ และหัดอ่านหนังสือ
5 ความประทับใจเกี่ยวกับหลวงพ่อ
1. หลวงพ่อเป็นกระหลวงตา ที่ไม่รู้หนังสือไทย แต่พานักปฏิบัติข้ามสู่ฝั่งแห่งพุทธธรรมได้อย่างน่าพิศวง
2. หลวงพ่อสามารถพูด ให้พวกเราเข้าใจถึงวิธีดูจิต หรือบำเพ็ญทางจิต ซึ่งแตกต่างจากอาจารย์อื่น ๆ ที่พูดให้บำเพ็ญทางจิต คือ ให้คิดให้มาก แต่หลวงพ่อพูดว่าการบำเพ็ญทางจิต คือ การเฝ้าดูจิตคิดนึกแล้วอย่าไป ตามคิด” ให้รู้ตัวว่าคิดมากหรือคิดน้อย แล้วให้อยู่กับตัวรู้สึก ตัวที่เคลื่อนไหว คือ ตัวรู้ที่ดีพร้อมกับทำให้ไม่ง่วง
3. ความประทับใจในข้อปฏิบัติ ที่ท่านแนะนำให้พวกเราสร้างสติรู้สึกตัวอยู่เสมอเพียงเท่านี้ สติตัวนั้นจะกลายมาเป็นปัญญาวุธ ตัดที่สุดของทุกข์ ให้แก่ผู้ปฏิบัติอย่างไม่ต้องสงสัย พูดให้ฟังง่าย ๆ ว่า เพียงทำจังหวะแค่นี้ ทำไมจึงไปทำลายอุตมโลกียธรรม ให้จืดจางว่างหายจากใจคนได้ จนได้เผลอออกปากว่า อ๋อ !....นี้หรือคือที่สุดของทุกข์ ชาติสิ้นภพสิ้นไป ที่พระศาสดาปล่อยให้เป็นปริศนาธรรมแก่ชาวโลกทุกวันนี้ ก็เพราะมีอุตมโลกียธรรมตัวนี้เป็นรากแก้ว เมื่อขาดตัวนี้เสียแล้ว ศานติก็จะเกิดขึ้นทันที
6 เหตุการณ์ที่ป่าพุทธยาน
ป่าพุทธยาน สร้างขึ้นเมื่อปี 2509 พวกเรารวมกันหกเจ็ดรูปด้วยกัน ออกจากวัดหนองแวง ไปอยู่ป่าพุทธยาน ในปีนั้นได้มหาคึ้มมาปฏิบัติด้วย ท่านเข้าใจธรรมอย่างลึกซึ้ง นับว่าหลวงพ่อได้ลูกศิษย์ที่สำคัญอีกหนึ่งคน ปลายปี 2509 อาจารย์บุญธรรมก็ขึ้นไปปฏิบัติอยู่ตัวย พอสิ้นปี2509 ท่านก็กลับไปหนองแก และก็มีอาจารย์คำเขียนติดตามมาด้วย เมื่อปฏิบัติแล้ว ท่านเห็นว่าเป็นทางปฏิบัติ พอเข้าพรรษาถึงเดือนกันยายน พ.. 2510 นี้เอง เป็นปีที่ท่านอาจารย์คำเขียน (หลวงพ่ออ้วน) บวช เพราะท่านมาปฏิบัติตั้งแต่เป็นฆราวาส และบัดนี้ท่านก็ยังอยู่ป่าสุคะโตนั่นเอง ส่วนปีต่อมามีอาจารย์ทองกับเพื่อนอีกหลายคนมาอยู่ด้วย อาตมาอยู่มาถึงปี 2512 จึงหนีไปเรียนแผนโบราณที่ จ.อุบลราชธานี
7 พรรษาที่สำคัญที่สุดของหลวงพ่อ
ในปี 2507 มีพระมหาเปรียญมาปฏิบัติด้วยถึง 2 รูป และพระที่จบนักธรรมเอกถึง 5 รูป ในปี 2509-2510 มีพระมาอยู่ด้วยเป็นจำนวนมาก
หลังจากปี 2507 แล้ว ถ้าเรียงชื่อลูกศิษย์ที่สำคัญ ๆ ก็มี อาจารย์คำพันธ์ อาจารย์บุญธรรม อาจารย์คำเขียน และอาจารย์ทอง ยังพากันอยู่ทุกวันนี้
8 เหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดของหลวงพ่อ
เมื่อปี 2508 ซึ่งเป็นปีที่อาตมาไปจำพรรษากับหลวงพ่ออยู่ที่บ้านบุฮม ทางเจ้าหน้าที่ของบ้านเมืองเข้าใจผิดคิดว่า หลวงพ่อสอนลัทธิตรงกันข้าม จึงได้มาทำการตรวจค้นหาหลักฐานหรือเอกสารบางอย่าง แต่ไม่เห็นมีอะไร จึงเข้าใจว่า หลวงพ่อสอนธรรมะจริง เป็นเรื่องของธรรมดาอยู่เอง คนไม่เคยได้ยินได้ฟังใหม่ ๆ ก็ย่อมสะดุดใจเป็นธรรมดา
9 บันทึกวันแห่งการจากไปของหลวงพ่อ
วันแห่งการจากไปของหลวงพ่อ เมื่อวันอังคารที่ 13 ขึ้น 3 ค่ำ เดือนสิบ ปีมะโรง พ.ศ. 2531 ตรงกับวันและเดือนที่ท่านเกิด คือวันอังคาร เดือนสิบ ท่านได้ทำพิธีตายให้ลูกศิษย์และญาติโยมได้ดูเป็นลำดับดังนี้
เวลา 16.00 น. ท่านได้พูดกับหลานชาย คือโยมพ่ออุ่น ว่าให้เตรียมตัวได้แล้ว เณรก็วิ่งไปบอกอาตมาว่า หลวงพ่อเป็นหนักให้เตรียมตัวกันได้แล้ว ในวันนั้นศิษย์อาวุโสมี 2 รูปเท่านั้น คือหลวงพ่อบุญธรรมและอาจารย์สมหมายจากแก่งคร้อ อาตมากับท่านทั้ง 2 พร้อมด้วยพระเณรในวัดทั้งหมด 21 รูป ญาติโยมผู้หญิง 25 คน ผู้ชาย 9 คน แม่ชี 4 ชีพราหมณ์ 2 รวมทั้งหมดประมาณ 60 กว่าคน
อาตมามาถึง ดูนาฬิกาเป็นเวลา 17.20 น. หลวงพ่อยังยกมือได้อยู่ตามปกติ อาตมาลองเอามือแตะดูที่ขาท่าน ปรากฏว่าเย็นขึ้นไปถึงบั้นเอวแล้ว มีลมเดินอยู่ตั้งแต่ช่วงท้องขึ้นไป
พอถึงเวลา 17.24 น. หลวงพ่อก็ยกมือไปไว้ที่สะดือได้ ท่านเอามือขวาทับมือซ้ายไว้ แล้วก็เลื่อนมือซ้ายขึ้นไปที่หน้าอก เอามือซ้ายออกไปไว้ข้าง ๆ ส่วนมือขวาเลื่อนลงไปไว้ที่สะดือ แล้วจึงเอามือซ้ายไปทับมือขวาไว้อีก เลื่อนมือซ้ายออกไปไว้ข้าง ๆ อีกครั้งหนึ่ง
ท่านทำจังหวะมาถึงตอนนี้ อาตมาดูนาฬิกาเป็นเวลา 17.33 น. มือขวาของท่านยังอยู่ที่สะดือตามเดิม เพราะมือขวานี้หนักมากจริง ๆ ยกยากเนื่องจากแขนบวมมาก หลวงพ่อท่านก็ยังพยายามยกขึ้นลงได้อยู่ ตอนนี้จึงเลื่อนมือซ้ายไปทับมือขวา แล้วเลื่อนมือขวาขึ้นไปที่หน้าอก ส่วนมือซ้ายก็เลื่อนตามไปเหมือนเดิม เลื่อนมือทั้งสองข้างออกไปข้าง ๆ เอามือขวาไปไว้ที่สะดือ ส่วนมือซ้ายยังวางอยู่ข้างลำตัวในท่านอนหงาย ต่อจากนั้นท่านก็ลืมตาดูทุกคนที่อยู่ข้าง ๆ ท่าน
เวลา 17.40 น. หลวงพ่อยกมือซ้ายไปไว้ที่หน้าอก แล้วเลื่อนลงไปไว้ที่สะดือในลักษณะเดียวกับมือขวา เลื่อนขึ้น ๆ ลง ๆ ได้ตามปกติ
เมื่อเวลา 17.42 น. ท่านก็วางมือซ้ายและขวาไว้ข้างลำตัว ทอดแขนขนานกับลำตัว แล้วท่านก็ลืมตาดูผู้ที่เฝ้าอยู่รอบ ๆ ท่านเป็นนครั้งที่สาม อาตมาดูเวลาได้.17.45 น. พอดี
คุณยุ่นมาจากกรุงเทพฯ ทันเวลาที่หลวงพ่อได้ทำพิธีตายให้ทุก ๆ คนได้เห็นพร้อมกันหมด
ต่อจากนั้นท่านก็ยกมือขึ้นไปประกบกันไว้ที่หน้าอก แล้วก็เลื่อนลงไปไว้ที่สะดือ แล้วท่านก็คู้ขาขวามาชันเข่าไว้ สักครั้งหนึ่งก็เหยียดลงไป เปลี่ยนเป็นขาซ้ายป้าง คู้เข่ามาชันไว้ถึงสองครั้งสลับกัน พร้อมกับลืมตาดูผู้คนที่มาเฝ้าดูอาการของท่าน ขณะนั้นเป็นเวลา 17.50 น.
ครั้นถึงเวลา 17.55 น. ท่านก็ยกมือซ้ายขึ้นไปวางไว้ที่สะดือแล้วเลื่อนออกไปไว้ข้าง ๆ
จนถึงเวลา 18.00 น. ท่านก็เอามือซ้ายขึ้นไปทับมือขวาในท่าสงบ เมื่อเวลา 18.05 น. ท่านเลื่อนมือซ้ายห่างมือขวาเล็กน้อยเหนือสะดือ จนถึงเวลา 18.14 น. จึงเลื่อนมือไปกุมกันไว้ที่หน้าอก แล้วเลื่อนลงมาที่สะดือแล้วท่านก็ลืมตากว้าง มือยังอยู่ที่เดิม เคลื่อนไปเคลื่อนมาเหมือนเราทำจังหวะธรรมดานี้เอง
พอถึงเวลา 18.15 น. ท่านก็เลื่อนมือทั้งสองข้างลงวางไว้ข้างลำตัว ทอดแขนตามปกติ พร้อมกับหมดลมไปพร้อมกันอย่างสงบเย็นจริง ๆ
อาตมาอดกลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้ด้วยความตื้นตันใจ มีทั้งความดีใจในการกระทำของหลวงพ่อซึ่งเป็นภาพอันหาดูได้ยาก และมีทั้งความเสียใจที่ตัวเองยังติดข้องอยู่หลายประการ อาตมามีความคิดถึงลูกศิษย์ของท่านทุกคน อยากให้มาดูมาเห็นด้วยกัน